ภาคที่ 2 บทที่ 15 เส้นทางที่พลัดพราก ตอนที่ 52 หมู่บ้านมนุษย์กินคน
สังข์ รู้ดีว่า ธนญชัย มีนิสัยอาฆาตพยาบาทรุนแรง, เขาคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ. การเดินในน้ำ ค่อนข้างลำบาก และเชื่องช้า. เสียงปืนยิงไล่หลังมาเป็นระยะ. หากปล่อยไปแบบนี้ ย่อมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ. สังข์ ตัดสินใจยอมเสี่ยง ฝ่ากระสุนปืน ขึ้นไปบนเนินฝั่งข้างบน. และเขาก็ทำได้สำเร็จ. ข้างบนเป็นเนินดิน มีก้อนหินใหญ่สองสามก้อน พอจะใช้เป็นที่กำบังได้บ้าง. เสียงปืนยิงไล่หลัง 2 - 3 นัด ส่งลูกกระสุน วิ่งมาปะทะก้อนหิน ข้างๆ ตัวเขา กระเด็นไป.
ถัดจากก้อนหินใหญ่ ไกลออกไป มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเรียงรายเป็นกลุ่ม, พอจะอาศัยหลบกระสุนได้บ้าง. เสียงปืนดังขึ้นอีก 2 นัด. เปลือกต้นไม้ถูกลูกกระสุน ปริแตกเป็นระยะ. สังข์ อาศัยโคนต้นไม้ เป็นที่กำบัง วิ่งไปเรื่อยๆ. ป่าสองข้างเริ่มหนาทึบ จนกระทั่งถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ราวห้าคนโอบ น่าจะใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น. สังเกตที่โคนต้น มีก้อนหิน 3 ก้อนวางเทินกัน. ก้อนบนมีท่อนไม้ยาว เสียบคาอยู่ในซอกหิน สุดปลายท่อนไม้ มีหัวกะโหลกคนเสียบอยู่. ส่วนอีกฝั่งหนึ่งที่อยู่ตรงข้าม ก็มีก้อนหิน 2 ก้อนวางเทินแบบเดียวกัน และก็มีหัวคนเสียบคาบนท่อนไม้ยาว แต่เป็นหัวคนที่เพิ่งถูกตัด. ส่งกลิ่นเหม็น จนต้องเอามือปิดจมูก.
สังข์ เดาเอาว่า คงเป็นทางเข้าของหมู่บ้านมนุษย์กินคน. เขาหยุดคิดครู่หนึ่ง ว่าจะไปต่อหรือเลี่ยงไปทางอื่น. แต่ประเมินสภาพพื้นที่ทำเลแล้ว ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่า และปลอดภัยกว่า. สังข์ เลือกขอหลบภัยและพักเหนื่อยที่นี่ สักครู่ก่อน.
เขาแทรกตัวลง ระหว่างรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดิน. พอหย่อนก้นถึงพื้นได้ไม่นาน รู้สึกว่ามีกลุ่มคน เคลื่อนมาทางเขา. เสียงพูดคุยบ่นพึมพำ คงไม่ใช่นักล่าจากนครพันธุรัฐแน่, อาจเป็นกลุ่มคนป่าแถวนี้ก็ได้. เขาคิดใคร่ครวญต่อ แต่ถ้าหากเป็นพวกมนุษย์กินคนจริงๆ จะทำอย่างไร. ... ยุ่งละซิ! นี่มันหนีเสือปะจรเข้ชัดๆ. ด้านหลัง ถูก ธนญชัย ไล่ล่า, ด้านหน้า ถูกพวกมนุษย์กินคน รุมทึ้ง. โคนต้นไม้โล่งๆ คงหลบไม่พ้นสายตาแน่ๆ. สังข์ ล้วงกระเป๋าเอาถังสเปรย์ ขึ้นมาเขย่า, ยังพอมีสารเคมีเหลืออยู่ในถัง. เขารีบกดปุ่มฉีดพ่นสารเคมีล่องหน ไล่จากขาขึ้นมาได้เพียงครึ่งตัว.
ชายชุดทหาร 2 คน ถือปืน รุกไล่ตามเขามา จนถึงประตูทางเข้าหมู่บ้านมนุษย์กินคน. เมื่อเห็นก้อนหินสัญลักษณ์ วางตั้งที่ปากทางเข้า เขาสองคนหยุดชะงักทันที. ชวนกันถอยหลัง วิ่งกลับไปทางเดิม. สังข์ ก้มหัวหลบต่ำลง ที่บริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ มองลอดรากไม้ออกไป. เขาคาดไม่ผิด! ภาพเบื้องหน้าที่เห็น พาขนลุกพองสยองหัว. มนุษย์เผ่ากินคน มากันเป็นฝูง นับร้อยคน พร้อมอาวุธ เป็นพลองปลายแหลมในมือ. แม้จะเป็นอาวุธโบราณไปสักหน่อย แต่การแต่งหน้าเขียนสี ทำให้ดูน่ากลัวไม่น้อย.
สังข์ ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเป็นชุดติดต่อกัน นานหลายนาที, คิดว่า คนป่าพวกนี้ ถ้าโดนกระสุนนั่น คงจะล้มตายเป็นจำนวนไม่น้อย. พอสิ้นเสียงปืนได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงพวกคนป่า เดินโห่ร้องกลับมา ด้วยจำนวนคนไม่น้อยกว่าขาออกไป. ... อะไรกันนี่! คนป่าพวกนี้ ไม่ได้ล้มตายเป็นใบไม้ร่วงอย่างที่คิด.
สังข์ ยังซ่อนตัวซุ่มดูเหตุการณ์ต่อ, คนป่าตัวเล็กคนหนึ่ง ถือปืนกลไว้ในมือ. เขาคงยึดได้จากชายชุดทหาร. แม้ตัวจะเล็ก แต่กลับเก่งกาจ เอาชนะแย่งปืนจากคนตัวใหญ่กว่าได้. ถ้าเขาไม่ใช่ผู้วิเศษ หรือหมอผีประจำเผ่า ก็อาจเป็นหัวหน้าเผ่าก็ได้. นี่คือสิ่งที่ สังข์ คาดเดา. คนป่าตัวเล็ก แบกปืน เดินนำขบวน ผ่านซุ้มประตูเข้าไป. ตรงกลางขบวน พวกมันหามร่างของชายชุดทหารมาด้วย 2 ศพ.
นี่คงจะเป็นอาหารมื้อเช้า ของพวกเขาเป็นแน่. สังข์ ยังคงซุ่มมองขบวนแห่ของพวกคนป่า เดินผ่านซุ้มประตูไป แต่โชคไม่ดีเลย เขาขยับตัวถอยไปเหยียบกิ่งไม้ผุดัง แคร่ก!. คนที่เดินห้อยท้ายขบวน หยุด สังเกตที่มาของเสียง. เขาส่งภาษาบอกให้เพื่อนที่อยู่ข้างหน้าว่า เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ที่โคนต้นไม้ ข้างซุ้มประตูทางเข้า. คนป่า 2 คน พากันเดินมาตรงที่ สังข์ ซ่อนตัว.
คนป่าเห็นร่างของเขา ถึงกับสะดุ้ง ผงะถอย เหมือนเห็นสัตว์ประหลาด. คนหนึ่ง ยื่นปลายหอกไปที่เขา แล้วอุทานออกมา ไม่เป็นภาษามนุษย์. แล้วตะโกนเรียกพรรคพวกให้มาดู. เพียงครู่เดียว พวกคนป่าก็ทยอยกันมาเป็นฝูง รวมทั้งคนที่เป็นหัวหน้าเผ่า.
สังข์ ประเมินสถานการณ์ีอีกครั้ง, หากคิดหนีตอนนี้ คงไม่มีประโยชน์ วิธีที่ดีที่สุด คือหาทางรักษาชีวิต อย่าเพิ่งให้พวกคนป่า ฆ่าหรือทำร้ายเอาในตอนนี้ แล้วค่อยหาทางแก้ไขทีหลัง. สังข์ ยืนขึ้น ยกมือยอมแพ้. หัวหน้าเผ่าเห็นแล้ว ก็หยุดชงัก สายตาบ่งบอก ความสับสน ลังเล. เขาคงประหลาดใจ ที่เห็นมนุษย์มีครึ่งตัว. สังข์เอง ก็รู้สึกเช่นนั้น. เผ่ามนุษย์กินคน เคยล่าแต่คนเป็นๆ ไม่เคยเห็นคนที่มีครึ่งตัว ก็คงประหลาดใจเป็นธรรมดา. นี่นับว่าเป็นความโชคครึ่งหนึ่งของ สังข์ ที่สารเคมีล่องหน ช่วยหักเหให้สถานการณ์เลวร้าย เปลี่ยนไปแบบคาดไม่ถึง.
ตลอดทางที่เดินไป เป็นทางดินแคบๆ สองข้างทางมีแต่ป่า มีสัญลักษณ์รูปกะโหลกคน วางเป็นระยะเต็มไปหมด. ก่อนถึงหมู่บ้าน ต้องข้ามสะพานไม้ไป ราว 15 เมตร. สังเกต ข้างล่างเป็นลำธารน้ำใส. สังข์ คิดว่า ลำธารนี้คงไหลผ่ากลางหมู่บ้าน ของเผ่ามนุษย์กินคนแน่ๆ. โชคดีนะ ที่เขาไม่บอกให้ เอื้อย กับ โสนน้อย เดินทวนกระแสน้ำ ขึ้นมาทางนี้ ไม่อย่างนั้น คงถูกพวกมันจับบูชายัญทั้งสองคน.
ข้ามสะพานไปแล้ว ก็มาถึงลานดินกว้าง แต่ครึ้มเย็นไปด้วยร่มไม้ใหญ่, มีซุ้มกระโจมที่ทำจากต้นไม้ทั้งต้น ตั้งอยู่บนเนินดินบ้าง อยู่บนกิ่งต้นไม้ใหญ่บ้าง. นี่คงเป็นบ้านของคนป่าพวกนี้. หัวหน้าเผ่า สั่งให้ลูกเผ่าเอาศพของชายชุดทหาร เข้าไปในกระโจมหลังใหญ่, นั่นอาจเป็นโรงครัวของพวกเขาก็ได้. จากนั้น มีลูกเผ่าคนหนึ่ง พา สังข์ ไปที่กระโจมหลังหนึ่ง. โชคดีที่ กระเป๋าของเขา ไม่ถูกยึดเอาไป. กระโจมหลังนี้ มีขนาดใหญ่กว่าทุกหลัง ถูกตกแต่งประดับประดาเป็นพิเศษ. บริเวณลานดิน ที่อยู่ด้านหน้ากระโจม มีกลุ่มของพวกคนป่า ชุมนุมกันอยู่ เป็นชายและหญิงคละกัน ราว 40 คน. พวกเขายืนเป็นแถววงกลม ล้อมรอบกองไฟที่อยู่ตรงกลาง.
สังข์ ถูกพามาที่ กองไฟกองใหญ่, ที่ฐานกองไฟ ทำด้วยหิน แกะสลักเป็นรูปหัวกะโหลกคน วางอยู่รายรอบ. คนป่าเพศชายร่างเล็ก ที่เขาเคยเห็นมาแล้วครั้งแรก นั่งอยู่ข้างในสุด. หัวหน้าเผ่ามนุษย์กินคน นั่นเอง, ในมือข้างขวา ถือไม้เท้า ที่ทำจากกระดูท่อนแขนของมนุษย์ ต่อๆ กัน ส่วนหัวของไม้เท้า เป็นกะโหลกมนุษย์ แต่มีขนาดเล็กมาก. สังข์ ถูกบังคับให้เดินเข้าไป ยืนเผชิญหน้าหัวหน้าเผ่า. หัวหน้าเผ่า พินิจพิจารณา เหยื่อสำหรับบูชายัญ อีกครั้ง.
สังข์ รู้สึกตื่นกลัว สติกระเจิดกระเจิงไปไม่น้อย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย. แม้ว่าเขาเกือบตายมาหลายหนแล้ว แต่ครั้งนี้มันดูน่ากลัวกว่าทุกครั้ง. เพราะเขาอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีอาวุธ ไม่มีเพื่อน มองไม่เห็นวิถีทาง ที่จะเอาตัวรอดได้เลย. สังข์ รวบรวมขวัญกำลังใจ ให้แก่ตัวเอง มันเคยใช้ได้ผลมาแล้ว เมื่อคราวต่อสู้กับสัตว์ร้ายกลางทะเล.
การเผชิญหน้ากับหัวหน้าเผ่ามนุษย์กินคน ในระยะประชิด คิ้วต่อคิ้ว ตาต่อตา จมูกต่อจมูก แบบนี้ ถ้าใจไม่แข็งพอ คงจะสติแตกเอาง่ายๆ. เมื่อไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว, ความคิดในสมองพลุ่งพล่าน ความคิดบ้าๆ บังเกิดขึ้น อาจช่วยบรรเทาความกลัวลงได้. สังข์ ต้องยกระดับความกล้า สวมหัวใจให้เสมอหัวหน้าเผ่า ของคนป่าพวกนี้. เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กัดริมฝีปาก จ้องมองหัวหน้าเผ่า ด้วยสายตาแข็งกร้าว แบบตาไม่กระพริบ, รู้สึกได้ทันทีว่า ความกลัวลดลง เกิดแรงปฏิกิริยาสะท้อนกลับ. หัวหน้าเผ่าอาจจะกลัวสายตาของ สังข์ ก็เป็นได้. เขาถึงกับผงะเล็กน้อย ลุกขึ้นยืน มองดูเหยื่อที่ใช้บูชายัญ ตั้งแต่หัวจรดเท้า. สังข์ รุกคืบ และนึกสนุก ขึ้นมาทันที.
ลูกเผ่าสองคน ที่ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์หัวหน้าเผ่า มีท่าทีขึงขังทำหน้าถมึงทึง พร้อมเสียงขู่ในลำคอ ที่เห็น สังข์ ยิ้มอย่างยียวน. หัวหน้าเผ่า ถือไม้เท้า เดินกระุทุ้งดินไปรอบๆ เหยื่อบูชายัญ แล้วสั่งด้วยภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง. ครู่ต่อมา ลูกเผ่าอีกสองคน เข้ามาหิ้วแขนของสังข์ พาไปที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ห่างจากกระโจมพัก ของหัวหน้าเผ่า.
ีที่กระโจมพักของหัวหน้าเผ่า มองเห็นปืนแขวนไว้ที่หน้าประตูทางเข้า คนป่าพวกนี้ คิดว่าเป็นของวิเศษก็ได้ จึงเอามาประดับไว้เหมือนเครื่องบูชา. สังข์ เดาไม่ออกว่า ทำไมพวกเขา จึงยังไม่ฆ่าเขาทิ้งเสียตอนนี้ หรือว่าจะเก็บไว้บูชายัญในวันรุ่งขึ้น. หรือไม่ก็เหตุผลอื่น เช่น คนที่จะถูกนำมาบูชายัญ จะต้องมีร่างที่สมบูรณ์ ไม่ใช่เห็นเป็นคนครึ่งตัวแบบนี้. ตอนเด็กๆ ครูเพ็ญเคยเล่าให้ฟังว่า มนุษย์กินคน จะจับคนเป็นๆ ไปบูชายัญ เพื่อสักการะเทพเจ้าของพวกเขา แล้วเทพเจ้าจะให้พรบางอย่างตอบแทน. แต่ตอนนี้ ถ้าพวกเขาเอาเหยื่อที่ไม่สมบูรณ์ ไปบูชา เทพเจ้าอาจจะโกรธก็ได้.
สังข์ ถูกพามาคุมขังไว้ที่ห้องขังแคบๆ, ผนังทำด้วยดินผสมก้อนหิน. เขาลองเอามือทุบๆ ดู มันหนามาก ยากที่จะทุบให้พังได้. ด้านหน้า เป็นประตูที่ทำจากแขนงไม้ มีคนเฝ้ายาม อยู่ 2 คน. สังข์ เริ่มรู้สึกหิว เพราะทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรมาเลย ของกินในกระเป๋าก็ไม่มีเลย.
สักครู่ หัวหน้าเผ่าเดินมา ยืนเกาะที่ประตู ทำสัญลักษณ์มือสั่งให้ สังข์ ลุกขึ้นยืน. แล้วพินิจดูครู่หนึ่ง จากนั้น ก็ชูมือซ้ายขึ้นบนฟ้า มือขวาถือไม้เท้ากระแทกพื้นเบาๆ พร้อมกับท่องบ่นเป็นคาถา เสียงดังเหมือนเดาะลิ้น นานราวครึ่งนาที. เสร็จแล้ว ก็บอกให้คนที่เฝ้ายาม เปิดประตู. หัวหน้าเผ่าเข้ามาในห้องเพียงคนเดียว เอามือตบๆ ๆ ที่บริเวณไหล่ ลำตัว ขา ของเหยื่อบูชายัญ สำรวจดูว่าเขาเป็นปีศาจ หรือมนุษย์ หรือเทพกันแน่. ก่อนออกจากห้องไป เขาจ้องมองหน้าสังข์ อย่างซึ่งๆ หน้าอีกครั้ง. สังข์ก็จ้องมองเขาแบบเดียวกัน.
คนป่าผู้หญิงคนหนึ่ง เอาของกินใส่ถาดมาให้, เป็นเนื้อย่างมีกลิ่นหอม. แต่ สังข์ ยังไม่กล้ากิน คิดว่านี่ต้องเป็นเนื้อมนุษย์แน่ๆ. คนป่าผู้หญิงคนนั้น ทำสัญลักษณ์ให้กิน. ตั้งแต่เช้า ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย, ความหิวเรียกร้องให้เขา เปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ ถึงจะเป็นเนื้อมนุษย์ ขอกินสักมื้อจะเป็นไรไป.
ตลอดคืนนี้ สังข์ นั่งคิดทบทวน หาวิธีออกไปจากที่นี่ แต่ก็ยังมองไม่เห็นทางเลย. ไม่รู้ว่าจะถูกขังอยู่ในนี้นานเท่าไร, จะถูกนำไปเข้าพิธีบูชายัญ โดยการเชือด ตัดคอ หรือเผาทั้งเป็น ก็ไม่อาจรู้ได้. โอกาสที่จะได้พบ เอื้อย กับ โสนน้อย คงไม่มี. เขาได้แต่กล่าวคำขอโทษในใจ ที่ไม่อาจทำตามสัญญาที่ให้ไว้. ขอให้เธอสองคน ไปรอดปลอดภัย อย่าให้เจอเรื่องร้ายๆ อย่างเขาเลย.
สารบัญ / ตอนที่ ปฐมบท -
บทที่ 2 สังข์ เอื้อย โสนน้อย
บทที่ 3 วันสังหาร
บทที่ 4 ชีวิตใหม่กลางภูผา
บทที่ 5 ภูติร้ายในป่ามรณะ
บทที่ 6 ประตูเวลาที่เรือนปีศาจ
บทที่ 7 หนอนทะเลทราย
บทที่ 8 หลุมดำดูดเวลา และการตามล่าของมนุษย์นอกจักรวาล
บทที่ 9 พบเพื่อนใหม่
บทที่ 10 ผจญภัยกลางมหาสมุทร
บทที่ 11 ปาฏิหาริย์ของเทพแห่งลิง
ภาคที่ 2: ฝ่าอุปสรรค เพื่อรักและอิสรภาพ
บทที่ 13 เทคโนโลยีล่องหน
บทที่ 14 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 1)
บทที่ 15 เส้นทางที่พลัดพราก
บทที่ 16 เมืองกาญจนา
บทที่ 17 บ้านของย่าทอง
บทที่ 18 วัยรุ่น วัยรัก วัยเรียน
บทที่ 19 ความรัก ความหวัง ยังไม่สิ้น
บทที่ 20 ตามหาเพื่อน
บทที่ 21 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 2)
ภาคที่ 3: รักนิรันดร์ ฝันเป็นจริง
บทที่ 23 นครรัฐเทพนารา
บทที่ 24 ชีวิตใหม่ ใจกลางมหานคร
บทที่ 25 ชีวิตจัดสรร ณ สันติอรุณ
บทที่ 26 สัมผัสแรก สัมผัสรัก
บทที่ 27 สังข์ทอง รจนา
บทที่ 28 วิกฤตของนครรัฐ
บทที่ 29 กู้วิกฤต
บทที่ 30 ฝันที่เป็นจริง
ปัจฉิมบท -
เพลง ฝ่าอุปสรรค ตามหารักนิรันดร์
|
|
|