igood media
HOME   |  Articles - Book - Poem - SongAUTHOR  |  FILM SCHOOL  |  COMMUNICATION ARTS  |  MY BLOG |

Blog film school

My Media channel

blog

1 หน้าแรก
2
บทความ
หนังสือเล่ม
ร้อยกรอง เพลง
3
บทภาพยนตร์
ภาพยนตร์สั้น
วีดิโอ มิวสิควีดิโอ
4
วิชาเรียนนิเทศศาสตร์
ตำราเอกสาร
สื่อการเรียน
 

 

 

บทบาทของมหาวิทยาลัยในการสร้าง
"คุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข"
:
โดย อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า
(บทความจาก สารร่มพฤกษ์ ปีที่ 4/2549 ฉบับเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2549)

          ประเทศไทยยังไม่ถึงคราวตกอับ ยุคที่เลวร้ายสุดๆ ก็จะมีคนดีๆ อาสาเข้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์ แต่ก็อย่านิ่งนอนใจเสียทีเดียว เพราะคนไม่ดี มักมีพลังและกลยุทธ์เหนือกว่าคนดีอยู่เสมอ ดูซิประเทศไทย ก็ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านกลิ่นคาวของวัฒนธรรมบริโภคนิยม ผ่านความโกลาหลก็หลายครั้ง เพราะไปพัฒนา กันผิดทางหรือเปล่า เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลทุกสมัยต่างใช้นโยบายบริหารประเทศ พารัฐนาวารูปขวาน เล่มทอง ไปตามแนวนโยบายเศรษฐกิจ แบบทุนนิยม-บริโภคนิยม (Mass consumption) โดยอาศัยระบอบ การปกครองประชาธิปไตยแบบนับหัว (Mass democracy) เป็นกลไกในการบริหารประเทศมาตลอด

          

          เห็นหรือยังว่า ส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาวะโดยรวม ของประชาชน ไปมากมายเท่าไหร่แล้ว นับตั้งแต่ การผลาญพร่าทรัพยากร อย่างกว้างขวาง สุขภาพร่างกายของประชาชนโดยรวม ทรุดโทรมลง สภาพจิตใจของ ประชาชนตกต่ำไร้ความสุข ความละอายและเกรงกลัวต่อความชั่วลดลง ผู้คนมีความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น ศีลธรรม ถดถอย เห็นการเอารัดเอาเปรียบ และการคดโกงเป็นความชอบธรรม สื่อมวลชน และการสื่อสารมวลชน ตกอยู่ ภายใต้อำนาจ และอิทธิพลที่ไม่ชอบธรรม ระบบการศึกษา ก็ไม่ช่วยให้คนฉลาดขึ้นเลย

          

          ดังนั้น การพัฒนาประเทศแนววัตถุนิยม หรือระบบเศรษฐกิจทุนนิยม กับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ ประชาธิปไตยดังที่เป็นอยู่ ได้สร้างปัญหาทางสังคมที่สลับซับซ้อนขึ้น

          

          รากเหง้าของปัญหาของมนุษย์ เกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ๆ คือ (1) เกิดความต้องการ แล้วสนองตอบไม่เพียงพอ และ (2) เกิดความต้องการแล้ว และแม้สนองตอบเพียงพอแล้ว ก็ยังเกิดความต้องการอีกไม่สิ้นสุด สรุปใจความว่า การสนองตอบความต้องการนั้น ไม่ใช่หนทางทำให้ ปัญหาของมนุษย์หมดไป เพราะเป็นวิธีการไล่ตามหลังปัญหา จึงอนุมานได้ว่า "ความต้องการ" นี่แหละคือ "ตัวปัญหา" ที่แท้จริง หาใช่ "การสนองตอบ" ไม่ ดังนั้น วิธีการแก้ไข ปัญหาของมนุษย์นั้นผิดมาตั้งแต่ต้น

Stop Mass Consumption - Start Sufficient Lifestyle

          

          จากสมการ ที่ว่า "ทุกข์-ปัญหาชีวิต = ความต้องการ / การสนองตอบความต้องการ" อธิบายได้ว่า "ความต้องการ" แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ความต้องการพื้นฐาน เช่น ต้องการเครื่องใช้ปัจจัยสี่ สวัสดิภาพ ในชีวิตและทรัพย์สิน เป็นต้น ส่วนความต้องการส่วนเกิน ก็คือต้องการสิ่งที่ปรุงแต่งความรู้สึกที่หรูหรา อลังการ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า ของใช้ บ้าน และการรักษาพยาบาลก็ตาม ทั้งหมดทำให้เกิดแนวคิดในการตอบ โจทย์ปัญหาความทุกข์ แตกแยกออกเป็น 2 แนวทาง คือ

          แนวทางที่ 1 "สนองตอบความต้องการส่วนเกิน + เพิ่ม ความต้องการส่วนเกิน" วิธีคิดแบบนี้มุ่งสร้าง กระแสหรือกระตุ้นความอยากที่เป็นส่วนเกินของมนุษย์ เพื่อให้เกิดกระบวนการคิด กระบวนการผลิต ให้ได้มา ซึ่งวัตถุ สิ่งของ เครื่องอำนวยความสะดวก ด้วยการใช้กลยุทธ์ ในการสื่อสารหลากหลายวิธี ที่จะหลอกล่อ มอมเมา ทั้งใช้อำนาจบังคับ ทั้งสร้างกระแสนิยม ทั้งรณรงค์ ตลอดจนทุ่มงบประมาณ ในการแข่งขันการสื่อสาร ทางการตลาด สุดแล้วแต่จะสรรหา วิธีการมาใช้ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่า สิ่งที่พูดพ่นปนกันออกมาทางสื่อนั้น เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ผู้คนบริโภคสิ่งของเหล่านั้น ในปริมาณมากๆ (mass consumption) อันเป็นหนทางในการ สร้างผลกำไร ให้แก่ผู้ประกอบการ ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนทรัพยากรที่ร่อยหรอลงไป

          แนวทางที่ 2 "ลด ความต้องการส่วนเกิน + สนองตอบความต้องการด้านสวัสดิภาพของชีวิตและทรัพย์สิน" บรรดาความสุข ความทุกข์ทั้งหลาย มันมีธรรมชาติของมัน คือเกิดขึ้นแล้ว สักพักก็ดับสลายไป ไม่ใช่ของเที่ยงแท้ แน่นอน มันเป็นเพียง "ความรู้สึกสุข" หรือ "ความรู้สึกทุกข์" จึงเป็นส่วนเกินของชีวิตแน่ๆ ที่จะต้องกำจัดไปเสีย ให้พ้นๆ ส่วนความทุกข์อันเกิดจาก ความเจ็บป่วยทางร่างกาย ความกังวลใจ อันเนื่องมาจากภัยต่างๆ เช่น โจรภัย วาตภัย อุทกภัย หรือภัยจากอาชญากรรมต่างๆ อันนี้ไม่ใช่ความต้องการส่วนเกิน แต่เป็นสวัสดิภาพที่มนุษย์สมควร ได้รับการคุ้มครอง จากผู้นำหรือผู้ที่เป็นหัวหน้า จะต้องตอบสนอง มิให้พวกเขาเกิดความกลัว หรือได้รับภัยอันตราย ที่กำลังจะเกิด หรือเกิดขึ้นแล้ว

          

          วิธีคิดแบบแนวทางที่ 2 ดูจะสอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
มากที่สุด ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มิใช่แนวคิดที่แปลกแยก หรือปิดกั้นการ
พัฒนาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และมิใช่ศัตรูกับระบบทุนนิยมตะวันตก
แต่จะเป็นสิ่งเกื้อหนุนให้คนในโลกอยู่ร่วมกันและอยู่รอดได้อย่างผาสุก

          ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทย คนไทย ควรจะเข็ดหลาบกันเสียทีกับการเดิน
ผิดทาง ก่อนที่ลูกหลานไทยในอนาคตจะเป็น "คนกลายพันธุ์" จากที่เคย
พึ่งพา และผูกพันกับเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ กลายเป็น พึ่งพาวัตถุและ
เทคโนโลยี แล้วจะพบความสงบสุขได้จากที่ไหน เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
ที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ส่วนวัตถุต่างๆ มันไม่มีชีวิตจิตใจ

          ก็นับว่ายังโชคดี ที่ไม่ถลำตัวไปมากกว่านี้ ต่อจากนี้ไป ก็ต้องช่วยกัน
เยียวยาบาดแผลต่างๆ โดยเฉพาะบาดแผลอันร้าวลึกที่เกิดแก่เยาวชนของ
ประเทศเมืองพุทธแห่งนี้ อย่าให้หลงและถลำตัวไปกับลัทธิเอาอย่าง ลัทธิ
บ้าบริโภคอีกต่อไป


สร้างคนดี ให้คนดีไปสร้างชาติ

          สถานศึกษา เป็นที่รวมของคนดี มีแบบอย่างที่ดีให้ "ลอกเลียน" และ
"เรียนรู้" ตั้งมากมาย จงเป็นผู้ "สู่รู้" แต่ในสิ่งที่ดี ส่วนสิ่งที่ไม่ดี ก็อย่าไปสู่รู้
มันเลย ประตูมหาวิทยาลัย เปิดไว้ต้อนรับคนที่พร้อมจะมาซักฟอกเอาความ
ไม่รู้ (อวิชชา) ออกไป แล้วเอา "ความรู้" "ความดี" ใส่เข้าไปในจิตวิญญาณ
และฟูมฟักความรู้ ความดีเหล่านั้น ให้เป็น "ความงาม" ให้แก่ชีวิต ดังนั้น
มหาวิทยาลัยจึงมีภารกิจและบทบาทหลัก 3 ประการ คือ

(1) "สร้างคน" คือจัดการเรียนการสอน เพื่อผลิตบัณฑิตออกไปรับใช้สังคม

(2) "ค้นคว้าวิจัย" คือศึกษาวิจัย ผลิตตำราสำหรับนักศึกษาและประชาชน

(3) "ให้บริการสังคม" รวมทั้งส่งเสริมศิลปะวัฒนธรรมด้วย

          ภารกิจทั้งสามประการ สอดคล้องกับแนวศึกษาปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียงอย่างยิ่ง ด้วยการนำกระบวนการจัดการความรู้ มาเป็นเครื่องมือ
สร้างองค์ความรู้ต่างๆ คือ (1) เรียนรู้จากการปฏิบัติ (2) พัฒนาศักยภาพ
จากการเรียนรู้และปฏิบัติจริง

          สิ่งที่ต้องเรียนรู้ ก็เริ่มที่เรียนรู้ชีวิต และเป้าหมายของชีวิต ว่าชีวิต
คืออะไร เกิดมาทำไม สิ่งที่ปรารถนาสูงสุดของชีวิตคืออะไร ที่จะนำพาไปสู่
ความดีงาม ความถูกต้อง สิ่งที่เป็นแบบฝึกหัดให้ปฏิบัติ คือ สถานการณ์จริง
และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน สถานที่สำหรับฝึกหัดเรียนรู้ที่
ดีที่สุด ก็คือตัวของผู้เรียนเองนั่นแหละ (ถ้ารู้จักตัวเองมากเท่าไร ก็จะรู้จัก
คนอื่นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ "ความอยาก" นั่นแหละตัวปัญหาละ) การ
เรียนรู้จากองค์กรที่ผู้เรียนสังกัดเป็นสมาชิกอยู่ จะทำให้ชีวิตเกิดความสงบ
สุข ความสามัคคี ความมีน้ำใจ.

ยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ในการพัฒนาสังคม*

          (1) "สังคมไม่ทอดทิ้งกัน" ด้วยการสร้างภราดรภาพให้เกิดขึ้น รื้อฟื้น
"น้ำใจ" ให้ไหลหลั่ง ให้พรูพรั่งท่วมท้น โถมทับ "น้ำเงิน" ที่พาคนหลงเพลิน
หลงเสพ หลงยึด จนเป็นบ่อนทำลายวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงาม และคอย
กัดกร่อนทุนทางสังคมลงไปทุกวันๆ

          (2) "สังคมเข้มแข็ง" คือ การส่งเสริมให้สมาชิกและชุมชน สามารถ
จัดการตนเอง พึ่งตนเอง ร่วมกันสร้าง ผลิต เพื่อใช้สอยในชุมชนก่อน เป็น
กิจกรรมที่บูรณาการเอาความรัก ความดี ความเป็นภราดรภาพ (พี่น้อง)
และความรู้ที่มีอยู่ในชุมชน ไปบริหารจัดการตนเอง ให้มีวิถีชีวิตอย่างพอ
เพียงและมีความผาสุก

          (3) "สังคมคุณธรรม" สังคมอุดมปัญญา ซึ่งข้อนี้คือภารกิจอันสำคัญ
ของมหาวิทยาลัยทุกแห่ง ควรบรรจุไว้ในหลักสูตรกันเลยทีเดียว

          ยุทธศาสตร์ทั้ง 3 ด้าน จะเกิดขึ้นได้ ด้วยการผสานความร่วมมือจาก
องค์กรภาคี 3 กลุ่ม คือ กลุ่มภาคธุรกิจ กลุ่มภาคประชาสังคม และกลุ่ม
ภาครัฐ (ทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค) โดยแสวงจุดร่วมกันตรงที่ ภาค
ธุรกิจที่เคยมุ่งแสวงกำไร ก็ให้ "ลด" กำไรลง และคืนไปให้แก่สังคมบ้าง เพื่อ
เป็นการตอบแทนพื้นที่ ตอบแทนทรัพยากร ตอบแทนเวลาและความรัก
ที่ตนเคยไปเบียดเบียนและแสวงประโยชน์เอามา ภาคประชาสังคม จะเป็น
ผู้ดำเนินการสร้างความเข้มแข็ง จากการเรียนรู้ และรวมพลังกัน โดยที่
ภาครัฐจะเป็นเพียงผู้คอยให้การสนับสนุน เปิดโอกาสให้กระบวนการต่างๆ
ดำเนินไปภายใต้การจัดการดูแล และพึ่งพาตนเองของชุมชน รัฐจะไม่เข้าไป
ยุ่งเกี่ยวหรือใช้อำนาจจัดการใดๆ

          ทั้งหมดที่กล่าวไปนี้ เป็นทั้งตัวเร่ง และตัวเสริมให้คุณธรรม ดำรงอยู่
ต่อไป เพื่อให้การใช้ชีวิตพอเพียง เป็นมาตรฐานใหม่ของลูกหลานไทย แล้ว
เรื่องปราบปรามอบายมุข ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ส่วนในรั้วมหาวิทยาลัย
ก็มีกิจกรรมให้ทำตั้งมากมาย เช่น "รักน้องจริง อย่าชวนน้องดื่ม น้องเป็น
ปลื้มถ้าพี่ไม่ดื่มไม่สูบ" หรือจะวิธีนี้ "เมาไม่ขับ" ถ้าทำได้แล้วก็ขยับไปเป็น
"งดเหล้า เข้าพรรษา" หรือไม่ก็ "สวมใส่มิดชิด เพื่อชีวิตพอเพียง" ฯลฯ

          มหาวิทยาลัย คือสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ต่างไปจากวัดหรือธรรม-
สถาน ดังนั้น ทุกคนควรเห็นคุณค่าและความสำคัญ หันมาร่วมกันพัฒนา
ทั้งคุณภาพและคุณธรรม ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุขให้ได้ จึงจะ
เป็นผู้มีคุณธรรมนำใจอย่างแท้จริง อย่าทำลายสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
กันเลย เพราะถ้ามหาวิทยาลัย กลายเป็นที่ซ่องสุมคนไม่ดี ทั้งขี้เกียจขี้โกง
คงต้องเปลี่ยนชื่อเรื่องเสียใหม่เป็น "จะสร้างคนดี เริ่มที่ครอบครัว จะปราบ
คนชั่ว เริ่มที่มหาวิทยาลัย" ฟังแล้วบอกตรงๆ ว่า "รับ - ไม่ - ได้" จริงๆ.

(* ที่มา: รศ.สุภาพ ณ นคร ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาบัณฑิตอุดมคติไทย ผู้อำนวยการสำนักวิจัยศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยขอนแก่น, บรรยายพิเศษเรื่อง "สิทธิมนุษยชน แนวทางสันติวิธีเพื่อความสมานฉันท์ และสันติสุขของประเทศ" ผ่านคลื่นวิทยุ FM 87.5 MHz. วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2549 เวลา 09.00 - 11.00 น.)

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]

  thinking focus new idea today
คำคม คำคิด แง่คิด ชีวิตดี
 


igood media copyright
 
SUDIN CHAOHINFA, igoodmedia.net : Administration and Producer
Copyright © 2010-2016 intelligence good media homeschool.
All rights reserved. me@igoodmedia.net