Article in 2020

 

 

HOME   |  Articles - Book - Poem - SongAUTHOR  |  FILM SCHOOL  |  COMMUNICATION ARTS  |  MY BLOG |

บทความ:
ธรรมชาติและคุณสมบัติของ เทวดา

โดย อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า

 

บทความนี้ เรียบเรียงจากทฤษฎี ที่เป็นส่วนผสมของ ฟิสิกส์-ดาราศาสตร์ และ พุทธศาสน์ (พุทธวจน). อ้างอิงจาก หนังสือสัมพัทธภาพ วิทยาศาสตร์-พุทธศาสน์ ชื่อ สรรพสิ่งสัมบูรณ์ ด้วยสัตตะธัมมะธาตุ: สัมพัทธภาพ ของ ความจริงสมมุติ กับ ความจริงปรมัตถ์ (The 7-Element: Absolute of Everything. The Theory explain Everything.) ซึ่งเป็นทฤษฎีเดียว ที่อธิบายทุกสรรพสิ่ง ของจักรวาล ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน ได้อย่างสมบูรณ์. เขียนโดย ผู้เขียนคนเดียวกัน. เผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ (ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2019) ที่ -

http://www.igoodmedia.net/index.html?#the-7-element

 

ก. บทนำ - ปฐมบท แห่งการก่อเกิด

ในมุมมองของพระพุทธเจ้า (ซึ่งเป็นมุมมองที่กว้างที่สุด ไม่มีกว้างกว่านี้อีกแล้ว) ธรรมชาติ จักรวาล (universe - เอกภพ) เป็นสิ่งที่มีขนาดอยู่ขนาดหนึ่ง ที่ไม่สามารถวัดได้ และ ไร้ขอบเขต[] และหาจุดเริ่ม จุดจบไม่ได้. มันก็มีอยู่เช่นนั้นเอง (ธัมมัฏฐิตา) มันเป็นกฎตายตัวของธรรมชาติ ที่ไม่มีอะไรไปเปลี่ยนแปลงมันได้เลย (ธัมมะนิยามตา) คือ มีการอุบัติเกิด ดำรงอยู่ เคลื่อนไป เสื่อมไป และดับสลายไปสู่การอุบัติเกิดในรอบถัดๆ ไป เช่นนี้ เป็นจำนวนรอบอนันต์ (cycle of rebirth). และ การเกิด การเสื่อม ย่อมอาศัยเหตุซึ่งเป็นผลต่อกัน (อิทัปปัจจยตา). ไม่มีธรรมชาติใด หรือสิ่งใด จะอุบัติเกิดและเสื่อม ได้ตามลำพัง.

[ เอกภพ มีขนาด แต่ไม่มีขอบ อุปมาเหมือน ลูกบอลกลม ซึ่งพื้นผิวของลูกบอล ย่อมไม่มีขอบ - สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง, วัฏฏสงสาร (จักรวาล) หาจุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุดไม่ได้ - ตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธะ.]

 

แสง อวกาศ เวลา พลังงาน-มวล
ธัมมะธาตุเริ่มต้น ของธัมมะธาตุฝ่ายวัตถุ (physics)


สัญลักษณ์ - อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป (ตามลำดับ)
ธัมมะธาตุเริ่มต้น ของธัมมะธาตุฝ่ายจิต (psychics)

 

ธรรมชาติ-จักรกวาล แบ่งออกเป็น 2 ระบบมูลฐาน (ไม่สามารถแบ่งย่อยต่อไปได้อีก) คือ ระบบปรุงแต่ง (สังขตธรรม-conditioned) กับ ระบบไม่ปรุงแต่ง (อสัขตธรรม-unconditioned).

ทั้งสองระบบ ต่างก็มีองค์ประกอบที่เป็น วัตถุธาตุ (ดิน น้ำ ไฟ ลม อวกาศ) และ องค์ประกอบที่เป็น จิตธาตุ (วิญญาณ สังขาร นามรูป) เป็นส่วนผสมร่วมกัน.

ธัมมะธาตุ ในระดับอะตอม ประกอบขึ้นจาก อนุภาค (particle) และคลื่น (wave) ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกของวัตถุ. แต่ในโลกของจิตวิญญาณ ธัมมะธาตุที่เล็กที่สุด และเป็นธัมมะธาตุเริ่มต้น คือ อวิชชา ประกอบขึ้นจาก วัตถุ (matter) และ จิต (psychic).

 

 

ดังนั้น อวิชชา จึงเป็นธัมมะธาตุทวิ วัตถุ/จิต และส่งต่อคุณสมบัติทวินี้ ไปยังธัมมะธาตุถัดไป คือ "สังขารทั้งหลาย." คำว่า 'สังขาร' = กิริยา หรือ กระบวนการปรุงแต่ง, คำว่า 'สังขารทั้งหลาย' = วัตถุธาตุอย่างเดียว (วัตถุ สิ่งของ) และ วัตถุธาตุ+จิตธาตุ (สัตว์ต่างๆ).

อนุภาคโฟตอน (แสง) บางครั้ง มันก็ประพฤติตัว เป็นอนุภาคบ้าง เป็นคลื่นบ้าง (มีคุณสมบัติ ทวิ คลื่น/อนุภาค). แต่ อวิชชา ทั้งส่วนที่เป็นวัตถุ และส่วนที่เป็นจิต กลับประพฤติตัวแบบเดียวกัน คือ "มันไม่รู้เรื่องอะไร" (โง่แท้ๆ). อวิชชา สามารถกำจัดออกไปได้ โดยคู่ปฏิยานุภาค[] ของมัน. แต่ โฟตอน ไม่สามารถกำจัดไปได้เลย เพราะมันไม่มีคู่ปฏิยานุภาค นั่นเอง. นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมในเอกภพอันกว้างใหญ่ จึงมีคลื่นแสง กระจายอยู่ไปทั่ว.

[ปฏิยานุภาค หรือ ปฏิอนุภาค (anti particle) คือ คู่ของอนุภาค ที่มีประจุไฟฟ้าตรงข้ามกับคู่ของมัน, เมื่อมันสัมผัสกัน จะทำประลัยคู่ () คือการหักล้างพลังของกันและกัน จนสลายไปกลายเป็นพลังงาน. โชคดีที่ ธรรมชาติได้สร้างคู่ปฏิยานุภาค ในปริมาณน้อยกว่า ทำให้ในเอกภพ มีดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ อุกกาบาต วัตถุ ธาตุต่างๆ หลงเหลือ ให้เราเห็น มาจนถึงทุกวันนี้ (เพียงร้อยละ 4.5 เท่านั้น ที่เหลือนอกนั้น ผสมปนเปกันไป ระหว่าง ปฏิยานุภาคบ้าง วัตถุมืดบ้าง หลุมดำบ้าง นิวตริโนบ้าง กราวิตอนบ้าง และอีกสารพัด ที่นักวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้).]

กรณี อวิชชา, เหตุที่ต้องแยกคุณสมบัติวัตถุ/จิต ออกจากกัน เพื่อให้การกำจัด อวิชชา ทำได้อย่างถูกตัวถูกตน. กล่าวคือ อวิชชา ส่วนที่เป็นจิตธาตุ นี่่เอง ที่ถูกกำจัดออกไป โดยสิ่งที่เป็นคู่ ปฏิยานุภาคของมัน คือ "วิชชา" และเมื่อถูกกำจัดออกไปแล้ว ส่วนที่เป็นวัตถุ ก็ยังคงอยู่เช่นนั้น. ปล่อยให้มันอยู่โดดเดี่ยว ตามธรรมชาติของมัน. สาเหตุที่ อวิชชาส่วนที่เป็นจิต ถูกกำจัดออกไป เพราะ วิญญาณ ถูกกำจัดออกไปก่อนหน้านั้น นั่นเอง.


สัญลักษณ์ - ชีวิตระบบขันธ์-5 หรือ นามรูป (คุณสมบัติของ สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรตวิสัย มนุษย์ เทวดา พรหม)

ดังนั้น อวิชชา ถือว่าเป็นองค์ประกอบแรกสุด ของธัมมะธาตุ ที่เป็นกลไกชีวะ (alive mechanics) อยู่ในธรรมชาติของจักรวาล. กลไกชีวะเหล่านี้ จะถูกเรียกรวมๆ กันว่า "สัตว์"] หรือที่เราเข้าใจว่า คือสิ่งมีชีวิต. แต่เมื่อมองในมุมของ กลไกชีวะ โดยละเอียด, สิ่งที่เรียกว่าสัตว์นั้น มีความหมายลึกและกว้างกว่า ที่มนุษย์ และ นักวิทยาศาสตร์ จะเข้าใจได้ง่ายๆ.

[คำว่า 'สัตว์' กับ 'ไอ้สัส' นั้นต่างกัน. สัตว์ เป็นสามัญนาม ใช้เรียกสิ่งที่มีชีวิต. คนทั่วไป หมายถึง สัตว์เดรัจฉาน (สัตว์โลก) เท่านั้น แต่พระพุทธเจ้า หมายถึง สัตว์ทุกชนิด ทุกประเภท ทั้งในระบบสังขตธรรม และระบบอสังขตธรรม, แม้พระศาสดาเอง ก็ทรงเรียกพระองค์เองว่า สัตว์ เช่นกัน เช่น โพธิสัตว์. ส่วนคำว่า ไอ้สัส เป็นคำด่า ดูหมิ่น เหยียดหยาม คนที่ทำตัวต่ำทรามดุจเดียวกับ เดรัจฉาน. ที่จริง สัส เพี้ยนมาจากคำว่า สัตว์ แต่เป็นการหลีกเลี่ยง ข้อกฏหมาย ที่จะไม่ต้องรับผิดจากคำพูดด่า ดูหมิ่น]

 

ข. อาณาจักรของสัตว์ ในมุมมองของ พระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้า แบ่งสัตว์ ออกเป็น 5 กลุ่ม (เรียงตามลำดับวรรณะสูง มาวรรณต่ำ) คือ
(1) เทวดา
(2) มนุษย์
(3) เปรตวิสัย
(4) กำเนิดเดรัจฉาน
(5) นิรยะ หรือ นรก

สัตว์ทั้ง 5 กลุ่ม ยังแบ่งออกได้เป็น 3 สภาวะ ตาม การมองเห็นของมนุษย์โลก (มองในมุมสัมพัทธ์ หรือ 'มโนทัศน์สัมพัทธภาพ') คือ (1) สภาวะรูปทรง (2) สภาวะกึ่งรูปทรง (3) สภาวะไร้รูปทรง.

สภาวะรูปทรง ได้แก่ มนุษย์ทั้งหลาย (มนุษย์โลก - อาจเป็นโลกนี้ หรือ โลกในกาแล็กซี่อื่น ก็ได้) และ กำเนิดเดรัจฉาน หรือ สัตว์เดรัจฉาน.

สัตว์ที่มีสภาวะรูปทรง ที่แปรเปลี่ยนสลับร่างได้ เรียกว่า สัตว์กึ่งมนุษย์ (ไม่ใช่มนุษย์) เช่น สัตว์จำพวก นาค[].

[ ธรรมชาติของนาค ในขณะหลับ และในขณะผสมพันธุ์ จะกลายร่างเป็นงูใหญ่. พระพุทธเจ้า จัดประเภทของนาค ให้อยู่ในกลุ่มของ สัตว์เดรัจฉาน. กำเนิดเดรัจฉาน ไม่อาจบรรลุธรรมได้. พิธีบวชนาค ที่ชาวพุทธในประเทศไทย กระทำสืบต่อๆ กันมา เป็นพิธีกรรมชั้นต่ำ (ต่ำตามความหมาย แต่อาจไม่ต่ำตามความรู้สึก) เพราะสัตว์ที่เป็นผู้บวชนั้น ไม่ใช่มนุษย์. พระศาสดา ตั้งกฏข้อห้ามไว้ว่า ห้าม นาค มาบวชเป็นพระ ถ้ารู้ภายหลัง ก็ให้สึกเสีย. ก็เลยเป็นประเด็นว่า พระที่ผ่านการเป็น 'นาค' มาก่อน จะมีคุณสมบ้ัติเป็นพระ ตามพระธรรมวินัยของพระศาสดาหรือไม่? ... ประเด็นนี้ เป็นเพียงแค่วาทะเท่านั้น, เพราะคนที่เข้าพิธีบวชแบบเป็นนาคมาก่อน (สมมุติตามความเชื่อ) ก็สามารถปฏิบัติบรรลุธรรมได้ เช่นเดียวกัน.]

สัตว์ที่มีสภาวะกึ่งรูปทรง ประเภท กึ่งเดรัจฉานกึ่งเทวดา ก็มี เช่น ครุฑ ยักษ์ วฬาหก (ครุฑ กับ วฬาหก = สัตว์อากาศ ของ โลกสวรรค์ (heaven land | heaven earth), ยักษ์ = สัตว์น้ำ ของโลกสวรรค์. บนสวรรค์ จะไม่มีสัตว์บก เพราะสวรรค์ ไม่มีแผ่นดินเหมือนบนโลกมนุษย์ แผ่นดินที่หยาบที่สุด เท่าที่เป็นไปได้บนโลกสวรรค์ คือ น้ำ, และก็เป็นสวรรค์ต่ำสุด รอยต่อ โลกมนุษย์ กับ สวรรค์จาตุมหาราชิกา)

สภาวะกึ่งรูปทรง ได้แก่ เปรตวิสัย หรือที่เราเรียกว่า เปรต. ความจริง เปรต จัดเป็นสัตว์กึ่งมนุษย์กึ่งนรก. เปรต บางครั้งก็แสดงรูปทรง ให้ประสาทรับรูปทางตา (ตา+รูป) ของมนุษย์ธรรมดา ให้เห็นได้ (เป็นบางครั้งเท่านั้น - บางคนเห็น บางคนไม่เห็น).

เทวดา พวกคนธรรพ์ หรือ รุกขเทวดา หรือ นางไม้ ก็สามารถสร้าง (create) สภาวะกึ่งรูปทรง ได้เช่นกัน.

<ตอนที่ 2/5>

ในบรรดาสัตว์ ทั้ง 5 กลุ่ม คือ
(1) เทวดา
(2) มนุษย์
(3) เปรตวิสัย
(4) กำเนิดเดรัจฉาน
(5) นิรยะ หรือ นรก

สามารถแบ่งประเภท ตามรูปกาย ที่แสดงให้มนุษย์ได้เห็น คือ ประเภทมีรูปทรง ประเภทกึ่งรูปทรง และ ประเภทไร้รูปทรง.

สัตว์ไร้สภาวะรูปทรง มี 2 กลุ่ม คือ เทวดา และ นรก. ที่เรียกว่า ไร้รูปทรง (non-formal) ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีรูปทรงเสียเลยทีเดียว แต่เป็นรูปทรง ที่พัวพัน (entangle) กับ พลังงานทางจิต และ เวลา, ไม่ได้มีวัตถุธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย. แน่นอนว่า จะไม่มีมนุษย์คนใด สามารถมองเห็น สัตว์จำพวกเทวดา ได้เลย แต่สามารถรับรู้ได้ทาง จินตภาพ เท่านั้น.

สัตว์จำพวกนรก ก็อธิบายแบบเดียวกันกับ สัตว์จำพวกเทวดา. เพียงแต่ต่างกันตรงที่ สัตว์นรก มีถิ่นพำนัก ซึ่งมีปัจจัยของ 'เวลา' และ 'แรงอันเกิดจากพลังงานแวดล้อม' ควบคุมให้มีการเคลื่อนไหวได้ ในพื้นที่จำกัด ทำให้เวลาในนรกนั้น ยาวนานกว่าสวรรค์เป็นล้านเท่า.

 

ค. คุณสมบัติของ เทวดา

ในโลกของวิทยาศาสตร์, ไม่สามารถเข้าถึง หรือมองเห็น สัตว์จำพวกเทวดาได้ เพราะ วิทยาศาสตร์ มีข้อจำกัดในทางทฤษฎี ซึ่งจะอธิบายได้เฉพาะ สิ่งที่เป็นวัตถุธาตุเท่านั้น คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม และ อวกาศ (5 ธาตุ).

นักวิทยาศาสตร์ ไปได้ไกลสุด เข้าถึงสิ่งที่มีขนาดเล็กที่สุด ก็แค่ระดับ "ควอนตัม" เท่านั้น. แต่โลกของเทวดา ไม่มีขนาดทางฟิสิกส์ แต่มีพื้นที่ (locality) ในมิติของเวลาและอวกาศ ที่อยู่กว้างไกลออกไป อย่างไร้ขอบเขต, ทะลุเลย ดิน น้ำ ไฟ ลม อวกาศ ไปจนถึง วิญญาณ (6 ธาตุ) และเลยออกไปอีก นับระยะอนันต์ (สังสารวัฏ - infinity).

 

 

โลกของเทวดา เป็นถิ่นที่อาศัยของ กลไกชีวะ หรือระบบชีวิต ที่ไม่มีมวล ไม่มีขนาด มีแต่กาลเวลา, อาศัยแรงทางจิต ในการดำเนินชีวิต. แม้กระทั่ง ระบบเวลา ของโลกวิทยาศาสตร์ (real world) และ ของโลกเทวดา (imagine world) ก็มีความแตกต่างกัน แบบสุดขั้ว.

ดังนั้น มาตรวัดที่จะใช้กับทั้งสองโลก จึงต้องใช้กันคนละระบบ จะนำมาวัดสิ่งที่อยู่ต่างระบบกันไม่ได้. จะทำได้ก็แต่เพียง การอุปมา เทียบเคียงกัน เท่านั้น โดยอยู่ในกรอบอ้างอิงที่เป็น สัมพัทธภาพ ต่อกัน.

[ดู ข้อ 6.7 มาตรวัด กรอบอ้างอิง ในบทที่ 6 กฎมูลฐานของธรรมชาติ หน้า 319 ในหนังสือ สรรพสิ่งสัมบูรณ์ ด้วยสัตตะธัมมะธาตุ]

สัตว์จำพวกเทวดา มีความพิเศษ มากกว่าสัตว์ประเภทอื่นๆ เพราะมีคุณสมบัติ ที่ทรงพลัง ทั้งด้านเวลา พลังงาน และสติปัญญา .

พลังงาน ในที่นี้ หมายถึง พลังงานทางจิต (psychic-energy). พลังงานทางจิต ให้กำเนิด แรงทางจิต 4 ชนิด คือ (1) เจตนา-มนสิการ (2) ทิฐิ-ปัญญา (3) สมาธิ-ฌาน (4) กรรม-วิบาก. แรงทางจิต ถูกสร้างขึ้นมาโดย สัตว์ทุกประเภท และแรงเหล่านี้ ก็เป็นสมบัติเฉพาะตัว ของ สัตว์เหล่านั้นๆ จะส่งแรงนี้ไปให้สัตว์ บุคคลอื่น ไม่ได้.

 

 

เวลา ของ มนุษย์ และ สัตว์เดรัจฉาน กับ เวลาของ เทวดา และ นรก ประกอบด้วย 3 กาล (อดีต อนาคต ปัจจุบัน) เช่นเดียวกัน แต่มีแกนทิศทางการไหลของกาล แตกต่างกัน. กล่าวคือ เวลา ของ มนุษย์ และ สัตว์เดรัจฉาน มีการไหลของกาล ไปตามแกนนอนแนวระนาบ ตามกฎ entropy ซึ่งกล่าวว่า เวลาวิ่งไปตามทิศทาง จาก ความเป็นระเบียบ ไปสู่ ความยุ่งเหยิง (เรียกว่า เวลาจริง หรือ เวลา 3 มิติ). ส่วน เวลาของ เทวดา และ นรก จะมีแกนทิศทางการไหลของกาล ไปตามแกนแนวตั้งฉาก กับ แกนแนวนอน (เรียกว่า เวลาจินตภาพ หรือ เวลาสี่มิติ). ด้วยเหตุนี้, รูปแบบการนับปริมาณของเวลา ในสวรรค์-นรก กับ บนโลกมนุษย์ จึงมีความยาวนานแตกต่างกันมากมาย เมื่อมองในมุมสัมพัทธ์.

แต่ถ้ามองในมุมของเทวดา, มนุษย์มีอายุสั้นพอดี เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม มากกว่าเทวดาด้วยซ้ำ เพราะการได้บรรลุธรรมเร็วเท่าใด ถือเป็นเรื่องดี. ดังนั้น ถ้าถามใจเทวดา, เทวดา ก็จะบอกว่า อยากเกิดมาเป็นมนุษย์ มากกว่าเป็นเทวดา. แต่ว่า จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้อีกนั้น ยากแสนยาก, คือ ถ้าจุติ (ตาย) ไปแล้ว โอกาสไปเกิดใน นรกภูมิ มีมากกว่ามาก เทียบได้กับ แผ่นดินทั้งผืน ส่วนโอกาสได้เป็นมนุษย์นั้น น้อยกว่า เทียบได้กับ ดินในปลายเล็บ.

คิดดูให้ดีๆ ฟังเทวดาผู้เป็นบัณฑิตพูด, แล้วอย่างนี้ ยังจะเกิดเป็นเทวดาอีกหรือไม่?

เป็นมนุษย์นั่นดีที่สุดแล้ว. อันที่จริง เทวดาก็ไม่ได้ประเสริฐไปกว่ามนุษย์หรอก. เทวดา แค่มีฤทธิ์ทางใจ แปลงกายวูบๆ วาบๆ ได้, แต่ตีหัวมนุษย์ไม่ได้ บังคับใจคนก็ไม่ได้ ดลบันดาลอะไร ก็ไม่ได้ทั้งสิ้น. เรากับเทวดา ก็เป็นสัตว์ร่วมโลก เป็นเพื่อนกัน แค่นั้น.

<ตอนที่ 3/5>

ในทัศนะของมนุษย์, เทวดา มีคุณสมบัติ-ลักษณะพื้นฐาน สรุปได้ ดังนี้,

[บางกรณี อาจสอดแทรก อุปมา และจินตภาพของผู้เขียน เพื่อให้เข้าใจ รูปธรรมของเทวดา ได้ชัดเจนมากขึ้น]

เทวดา มี รูปร่างโปร่งใส คล้ายอากาศ และมองไม่เห็น (รูปขันธ์ที่สร้างขึ้น ด้วยพลังทางจิต). ที่จริง เทวดาไม่มีรูปร่าง (เพราะไม่มี รูปขันธ์) ยกเว้น เทวดาพวกคนธรรพ์, รูปร่างของเทวดาส่วนใหญ่ มาจากการจินตนาการของมนุษย์. นั่นเท่ากับว่า มนุษย์ สร้างเทวดา ด้วยจินตนาการ ในขณะที่ เทวดา ไม่สามารถสร้าง หรือดลบันดาล อะไรๆ ให้แก่มนุษย์ได้.

เทวดา สวมใส่อาภรณ์ โทนฟ้า พำนักในเขตโซนเย็น ซึ่งอาจมีบรรยากาศ (อากาศ) หรือ ไม่มีบรรยากาศ (อวกาศ) ก็ได้.

การสวมใส่เสื้อผ้าของเทวดา เป็นแค่จินตนาการ ทางฝั่งมนุษย์ ซึ่งอธิบาย ตามภูมิศาสตร์ ที่พวกเทวดาอาศัยอยู่. เนื่องจากเทวดา เป็น นามขันธ์ ไม่มีมวล และไม่ใช่คลื่น, จึงดำรงอยู่ในภาวะใดๆ ของอวกาศก็ได้ แม้บริเวณนั้น จะมีอุณหภูมิ ใกล้ 0 kelvin (-273.15 องศาเซเลเซียส) หรือ ใกล้ 10,000 kelvin. หรือ จะมีคลื่นรังสีแบบใดๆ ก็ตาม.

เทวดา มี ความรู้สึกรับรู้ เสียง กลิ่น รส และ อารมณ์ต่างๆ เหมือนมนุษย์ ด้วยอำนาจของ เวทนาขันธ์. เทวดา ไม่มีความรูสึกสัมผัส เพราะเทวดา ไม่มีมวล ไม่มีมิติ ไม่มีร่างกายแบบฟิสิกส์, รับรู้ในทางเดียว (one way) คือ รับเข้ามาได้ แต่สื่อสารออกไปให้สัตว์ชนิดอื่น เช่น มนุษย์ ไม่ได้ ยกเว้น ความคิด ความปรารถนาต้องการ ในหมู่พวกเดียวกันเอง.

เทวดา มี ความจดจำอดีต ได้ยาวไกล ด้วยอำนาจของ สัญญาขันธ์. จึงสามารถระลึก ย้อนทวนอดีตและอนาคตได้ ไปไกลทั่วจักรวาล (แต่จะไกลเพียงใด ขึ้นอยู่กับ พลังงานทางจิต ของเทวดาแต่ละระดับชั้น).

เทวดา มี ฤทธิ์ทางใจ สร้าง หรือเนรมิต สิ่งต่างๆ (ที่เป็นสิ่งสมมุติ) ได้มากมาย ด้วยอำนาจของ สังขารขันธ์. ถ้ามีฤทธิ์มาก อาจก่อรูปหยาบให้มนุษย์มองเห็นได้ ในบางขณะ (มโนมยะ กาย).

เทวดา มีสติ มีปัญญาที่ทรงพลัง รับรู้ รวดเร็ว กว้างไกล กว่ามนุษย์เป็นล้านเท่า ด้วยอำนาจของ วิญญาณขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์.

เทวดา มีกาลเวลา เป็น ทางสัญจร (กาลเวลาจินตภาพ), สามารถเคลื่อนย้ายตัวเองไปได้ ในทุกๆ สถานที่ ทั่วจักรวาล ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน.

พาหะที่พวกเทวดา นิยมใช้สัญจร คือ แสง และ กราวิตอน เพราะมีอยู่ทั่วไป. แสงที่ปรากฏแค่อณูเดียว เทวดาสามารถเข้าไปรวมอยู่ในที่เดียวกัน ได้มากถึงแสนองค์. เคยปรากฏหลักฐาน คราวที่พระพุทธเจ้า จะเสด็จปรินิพพาน เวลานั้น มีเทวดามาชุมนุมกัน มากมายนับจำนวนไม่ได้.

เทวดา มี ความวิตกกังวล เป็น ความหิวกระหาย, มี สติ เป็นอาหาร.

เทวดา ที่กินอาหารแบบมนุษย์ก็มี (กพฬี การาหารภิกขะ) และ มีกายสำเร็จด้วยใจ (มโนมยะ กาย) ก็มี คือ สามารถแปลงกาย ให้มนุษย์เห็นได้. เช่น รุกขเทวดา หรือ คนธรรพ์.

เทวดา, เมื่อมี ปีติ จะรู้สึกง่วง อยากนอน, และเมื่อนอนหลับ จะมีความสุข ยาวนาน.

เทวดา, เมื่อหลับเพียงพอแล้ว จะมี สัมปชัญญะ (ความรู้ตัว) เป็นความตื่น.

เทวดา มี ความคิด เป็นภาษาสื่อสาร. เทวดา จะไม่ใช้ คลื่น หรือ รังสี แบบฟิสิกส์ ในการสื่อสาร พวกเดียวกันเอง. ดังนั้น รูปแบบความคิดของเทวดา กับ คลื่นความคิด (คลื่นไฟฟ้า) ของมนุษย์ ไม่สามารถ ติดต่อสื่อสารกันได้. มนุษย์คนใด ที่อ้างว่า ติดต่อ สื่อสาร พูดคุยกับเทวดาได้นั้น คือการหลอกลวง หรือไม่ก็ อุปทาน.

เทวดา มี ความหวาดกลัว เป็นอาพาธ. สิ่งที่เทวดากลัวมากที่สุด คือ การเจ็บป่วย. (เทวดา ก็กลัวตาย เหมือนมนุษย์)

เมื่อเทียบกับมนุษย์, เทวดา มีอายุยืนยาวกว่ามากมายหลายเท่า. ในสัดส่วน พันปี หมื่นปี แสนปี ล้านปี หลายสิบล้านปี หลายแสนล้านปี หลายล้านล้านปี และ ไม่อาจนับเป็นจำนวนปีได้, ขึ้นอยู่ที่ว่า เป็นเทวดายศชั้นใด เช่น เทวดาปุถุชน เทวดาอริยชน เทวดากามาวจร เทวดาชั้นรูปพรหม เทวดาชั้นอรูปพรหม.

เทวดา จะไม่ทำลายล้างสิ่งใดๆ และไม่มีพลัง ในการทำลายล้าง แบบที่มนุษย์เห็นและรับรู้. เทวดาที่ทำลายล้าง มีเพียงเผ่าพันธุ์เดียว ซึ่งเป็นลักษณะ 'ผ่าเหล่า' เรียกว่า อสูร หรือ อสุรกาย.

อสูร - เป็นสัตว์กึ่งเทวดา กึ่งนรก, พวกนิสัยดี ก็จะไปทำหน้าที่ เป็น ยมทูต ยมบาล ใน นรก, พวกนิสัยไม่ดี จะไปพำนักอยู่ในเขตสวรรค์ ชื่อ ปรนิมมิตวสวัสตี, พวกอสูร ชอบไประราน รังควาน ความสงบของเทวดา ชั้นอื่นๆ ที่อยู่ในอาณาจักรเดียวกัน (อาณาจักรสวรรค์กามาวจร) นิสัยพาล เพราะเย่อหยิ่งในอำนาจนิมิต.

เทวดา มีเผ่าพันธุ์ วงศ์ตระกูล ชนชั้น ฐานะ ที่ซับซ้อน แยกย่อย หลากหลาย. ใช้ความทรงจำ (สัญญา) และ ความสามารถในการปรุงแต่งทางใจ (สังขาร) เพื่อให้ได้รูปกาย (มโนมยะ กาย) ที่เหมือนและแตกต่างกัน, เป็นเกณฑ์ในการชี้บ่ง แบ่งแยก เผ่าพันธ์ วงศ์ตระกูล ชนชั้น ฐานะ.

ประชากรเทวดา ไม่ว่าอาณาจักรใด เมื่อเอาคุณสมบัติในการบรรลุธรรม มาเป็นเกณฑ์ชี้วัด. โดยวัดกันที่ ใครมีกิเลส เหลือน้อยกว่ากัน, กิเลสเหลือน้อยกว่า ก็มีภูมิธรรมสูงกว่า. พระพุทธเจ้า แบ่งคุณภาพประชากรเทวดา ออกเป็น 4 ระดับคุณภาพ (จากต่ำไปสูง) ได้แก่

(1) เทวดาปุถุชน มีสภาวะผล ใกล้เคียงกับมนุษย์ปุถุชน ต่างกันตรงที่ เทวดาปุถุชน ไม่มีร่างกาย ไม่ตระหนี่ขี้เหนียว ในการให้ทาน เท่านั้นเอง. ส่วนผลของการลดละกิเลส ใกล้เคียงกับมนุษย์.

(2) เทวดาอริยชน-โสดาบัน, เมื่อตายจากเทวดาแล้ว จะไม่ไปเกิดในนรกอีกแล้ว, และสามารถเลือกได้ว่า จะเกิดเป็น มนุษย์ หรือเทวดา ได้ไม่เกิน 7 ครั้ง หรือ 3 ครั้ง หรือครั้งเดียว, แล้วแต่ว่า ขณะเป็นเทวดา ละกิเลสได้มากน้อยเท่าใด.

(3) เทวดาอริยชน-สกทาคามี, เมื่อตายจากเทวดาแล้ว จะไม่ไปเกิดในนรกแน่นอน แต่จะไปเกิดเป็นเทวดา อีกหนเดียว แล้วบรรลุธรรมอรหัตตผล ในภพนั้น, ที่จะไปเกิดเป็นมนุษย์นั้น น้อยมาก.

(4) เทวดาอริยชน-อนาคามี เป็นเทวดาในอาณาจักรรูปพรหม, เมื่อตายจากเทวดาในชั้นนั้นแล้ว ย่อมไปเกิดในภพเดิมอีกหนเดียว ก็จะบรรลุอรหัตตผล.

สรุป เราสามารถเทียบชั้น ปุถุชน - โสดาบัน - สกทาคามี - อนาคามี. ในภพภูมิ มนุษย์-สวรรค์-พรหม ได้ดังนี้.

มนุษย์ปุถุชน
= เทวดาปุถุชน ในสวรรค์กามภพ.
มนุษย์โสดาบัน
= เทวดา-สกทาคามี ในสวรรค์กามภพ.
= เทวดา-อนาคามี ในสวรรค์รูปพรหม.
มนุษย์อรหันต์
= เทวดา อรหันต์ ในสวรรค์ และพรหมทุกชั้น.

 

 

อาณาจักรชายขอบระหว่าง โลก-สวรรค์ และ โลก-นรก อยู่ในเขตพื้นที่ของมิติเวลา ที่ซับซ้อน มนุษย์เข้าใจได้ยาก, มักเป็นถิ่นที่พำนักอาศัยของสัตว์ ที่มีรูปกายแบบ "กึ่ง" ซึ่งมีความแปลกประปลาด ในความรู้สึกสัมผัส ของมนุษย์.

มนุษย์บนโลก ที่มีความแตกต่างกัน ทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และความเชื่อ, อาจใช้นามเรียกขาน เทวดาที่มีฤทธิ์ และอสูรบางกลุ่ม ว่าเป็น แม่มดบ้าง พ่อมดบ้าง เอลป์บ้าง.

 

ง. อาณาจักร ของเทวดา

คุณสมบัติทางกาย (รูป) ทางใจ (อำนาจของ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ที่เป็นจิตธาตุ จะมีความซับซ้อนและหลากหลาย, ทำให้เกิดเขตพำนัก หรือ อาณาจักร ที่มีความแตกต่างกัน อย่างชัดเจน 4 เขต หรือ 4 อาณาจักร ใหญ่ๆ คือ

(1) ชายขอบ แดนต่อ มนุษย์-เทวดา (โลก-สวรรค์) และ มนุษย์-วินิบาต (นรก).
(2) สวรรค์กามภพ
(3) รูปพรหม
(4) อรูปพรหม

ในแต่ละอาณาจักร, จะมีการแบ่งเขตย่อยๆ อีกมากมาย ตามคุณสมบัติ และอิทธิฤทธิ์ ของประชากรในเขตนั้นๆ.

<ตอนที่ 4/5>

อาณาจักรชายขอบ, อยู่บนรอยต่อของ โลกมนุษย์และสวรรค์ และ รอยต่อของ โลกมนุษย์และวินิบาต (โลกในมิติที่ 4).

อาณาจักรชายขอบ เป็นเขตที่มนุษย์ เหล่าอสูร สัตว์นรกบางพวก เปรต พ่อมดแม่มด เทวดาอื่นๆ สามารถเข้ามาในเขตนี้ได้ บ้างก็อยู่ปะปนกัน เพราะมีความปรารถนาแบบเดีวกัน, บ้างก็แยกกันอยู่ เพราะรังเกียจ เหยียดหยาม ซึ่งกันและกัน. ทำให้อาณาจักรแห่งนี้ ไม่มีความสงบสักเท่าใด คล้ายแดนสนธยา เกิดความปั่นป่วนของเวลา และมิติ. มันเป็นความไร้ระเบียบ ยากที่จะหาทฤษฎีหรือกฏเกณฑ์ใดๆ มาอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้.

สัตว์ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรนี้ทั้งหมด ล้วนแต่เป็นสัตว์ที่ได้ร่างกาย หรือมีกาย แบบ 'กึ่ง' เช่น กึ่งมนุษย์กึ่งเทวดา กึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์นรก ส่วนสัตว์ กึ่งเทวดากึ่งสัตว์นรก (อสูร) จะรังเกียจบริเวณนี้มาก จะไม่ผ่านมาในแถบนี้ ด้วยเกรงว่าจะเสื่อมเสียเกียรติของตน.

สวรรค์กามภพ เป็นที่อาศัยของเหล่าเทวดาสามัญ แบ่งออกเป็น 6 เขตชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมานนรดี ปรนิมมิตตวสวัตตี. เทวดาในอาณาจักรนี้ ยังแบ่งเกรดคุณธรรม ออกเป็น 3 เกรด คือ เทวดาปุถุชน (โง่และดื้อ) เทวดาอริยชน-โสดาบัน และ เทวดาอริยชน-สกทาคามี. (เทวดาอริยชน-อนาคามี จะอยู่ในภพ อรูปพรหม)

ที่ได้เป็นเทวดาปุถุชน ในสวรรค์ เพราะในภพก่อน (ชาติก่อน) เคยเป็นมนุษย์ ทำบุญ รักษาศีล และ ให้ทาน บริจาค ทรัพย์สิน มากมาย. ที่ได้เป็นเทวดาโสดาบัน เพราะในภพก่อน ได้เป็นมนุษย์ และบรรลุธรรมได้ระดับหนึ่ง แต่ยังละกิเลสไม่หมด. และ ที่ได้เป็นเทวดาสกทาคามี เพราะในภพก่อน เป็นเทวดาอยู่แล้ว แต่บรรลุธรรมได้ระดับหนึ่ง (มากกว่าโสดาบัน) ยังละกิเลสไม่หมด, เมื่อตายไป เทวดาสกทาคามี ย่อมมาเกิดในภพสวรรค์นี้ อีกครั้งเดียว เพื่อบรรลุอรหัตตผล ในภพนี้เช่นกัน.

อายุขัยของเทวดา ทั้ง 6 เขตชั้น เรียงลำดับ จากต่ำไปสูง ได้ดังนี้,

-จาตุมหาราชิกา อายุ 9 ล้านปีมนุษย์. (500 ปีสวรรค์)[]
-ดาวดึงส์ อายุ 36 ล้านปีมนุษย์. (1,000 ปีสวรรค์)
-ยามา อายุ 144 ล้านปีมนุษย์. (2,000 ปีสวรรค์)
-ดุสิต อายุ 576 ล้านปีมนุษย์. (4,000 ปีสวรรค์)
-นิมมานรดี อายุ 2,304 ล้านปีมนุษย์. (8,000 ปีสวรรค์)
-ปรนิมมิตตวสวัสตี อายุ 9,216 ล้านปีมนุษย์. (16,000 ปีสวรรค์)

[ การรับรู้กาล วัน-คืน เดือน ปี ของเทวดา กับ มนุษย์ เหมือนกัน แตต่างกันที่ ความยาวนาน เมื่อมองในมุมสัมพัทธ์]

 

 

เทวดาปุถุชน ในอาณาจักรสวรรค์ ถ้าตายแล้ว หวังจะไปเกิด ในภพมนุษย์ หรือภพเทวดาอีกครั้งนั้น ยากมากๆ, โดยเทียบสัดส่วน เท่ากับดินปลายเล็บ. เทวดาปุถุชน ที่ตายแล้ว มักเวียนกลับไปเกิดในภพนรก มากกว่า, โดยเทียบสัดส่วน เท่ากับแผ่นดินทั้งผืน.

เทวดาในอาณาจักร รูปพรหม มีความสามารถ รู้ปัจจุบัน (วิญญาณขันธ์) รู้อดีต (สัญญาขันธ์) และรู้อนาคต (สังขารขันธ์) ของตัวเองได้ดี ด้วยพลังของ "ฌาน."[] เทวดาบางองค์ในชั้นนี้ อาจรับรู้อดีตหรืออนาคตของผู้อื่นได้ด้วย. อาณาจักรรูปพรหม กว้างใหญ่ไพศาลมาก ครอบคลุมระบบสุริยะ กาแล็กซี่ ทั้งหมด.

[ ฌาน คือ การรวบรวม สมาธิ ให้อยู่นิ่งๆ ด้วยอำนาจทางใจ. เมื่อได้ ฌาน (นิ่ง - fixed) แล้ว ก็จะเห็น สรรพสิ่ง หรือ ธัมมะธาตุ ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ แม้กระทั่ง การหมุน (spin) หรือโมเมนตัม ของอิเล็กตรอน ของอนุภาคอะตอมอื่นๆ, การกระเพื่อม (pulse) ของแสง และ แรงโน้มถ่วง ตลอดจน การกระพริบ เกิด-ดับ ของวิญญาณ.

ฌาน มีระดับคุณภาพ 4 ระดับ คือ 1, 2, 3, 4. การสร้างสมาธิระดับ ฌาน ต้องทำตนเอง (กาย) ให้นิ่ง (fixed) เสียก่อน โดยนั่งหลับตา, ส่วนการสร้างสมาธิ ทำได้ทั้งโดยการนั่ง หรือ เคลื่อนไหว อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เดิน. ทั้ง ฌาน และ สมาธิ เป็นเครื่องมือ ประหารกิเลส ได้พอๆ กัน. การบรรลุธรรม ด้วยฌาน เรียกว่า "เจโตวิมุตติ" บรรลุธรรมด้วย สมาธิ เรียกว่า "ปัญญาวิมุตติ." ทั้ง เจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติ เมื่อได้แล้ว ได้เลย ติดตัวไปจนตาย. แต่จะได้สิ่งนี้มาง่ายๆ นั้น, อาจต้องใช้เวลา ข้ามภพข้ามชาติ กันหลายรอบ.]

อาณาจักรรูปพรหม แบ่งออกเป็น 4.1 เขต ตามกำลังของ ฌาน ที่เทวดาแต่ละองค์ทำได้ (ทำได้ ในระหว่างเป็นมนุษย์ ในภพก่อนหน้า หรือทำได้ ในระหว่างเป็นเทวดา ในภพนี้)

-เขต ฌานที่ 1 เทวดาในเขตนี้ จะมีอายุ 1 กัป.
-เขต ฌานที่ 2 เทวดาในเขตนี้ จะมีอายุ 2 กัป.
-เขต ฌานที่ 3 เทวดาในเขตนี้ จะมีอายุ 4 กัป.
-เขต ฌานที่ 4 เทวดาในเขตนี้ จะมีอายุ 500 กัป.

[ กัป เป็นมาตรวัดเวลาจินตภาพ ซึ่งมีความยาวนานมาก. หน่วยวัดแบบ SI (International System of Units) ไม่สามารถนำมาใช้ได้. ทำได้เพียงการอนุมานเปรียบเทียบเท่านั้น, ทุกๆ 100 ปี เอาผ้านิ่มซึ่งทอด้วยใยบัว ให้มีขนาดใหญ่เท่าภูเขาหินเปลือยแท่งทึบหนึ่งลูก (กว้าง?สูง?ยาว ประมาณ 16 กม. ไม่มีโพลง หรือถ้ำ) แล้วเอาผ้านั้น ไปลาดภูเขาลูกนั้น 1 ครั้ง, เวียนทำเช่นนี้ ทุกปีไป จนกว่าภูเขาลูกนั้น จะสึกหรอหายไป เป็นแผ่นดินราบ. การสึกหรอของภูเขาหนึ่งลูกนั้น ยัง 'น้อยกว่า' ระยะเวลา 1 กัป. (ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า น้อยกว่า เท่าใด นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบ ความยาวนานของเวลา เท่าที่มนุษย์รับรู้ได้)]

อีกหนึ่งเขตเป็นเศษ (.1), เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่าง อาณาจักรรูปพรหม กับ อาณาจักรอรูปพรหม เรียกว่า "สุทธาวาส." สุทธาวาส มีลักษณะ สมบัติ เช่นเดียวกับ อรูปพรหม ชั้นเนวสัญญานาสัญญายาตนะ หรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อสัญญีสัตว์. เทวดาในเขตนี้ มีอายุขัยยาวนานมาก จนนับไม่ได้. เพราะทำสมาธิฌานเลย ฌานที่ 4 ไปมาก. และถ้าตายในภพนี้ (ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่) ก็จะเวียนเกิดอีกในภพนี้ก็มี ไปเกิดในภพอื่น (ที่ต่ำกว่า) ก็มี.

[ตถาคต ถึงกับปรารภว่า สัตว์ที่ไปเกิดในภพ สุทธาวาส ถือเป็นคราวซวย (ตลอดชาติ) เพราะโอกาส ที่จะได้บรรลุอรหัตผลนั้น ยากมาก เพราะเหตุที่อายุยาวเกิน และโดดเดี่ยว โอกาสที่จะได้พบพระพุทธเจ้า เพื่อได้ฟังธรรมนั้น แทบจะ หรือไม่มีเลย. พระองค์ บอกแก่ภิกษุว่า พระองค์ก็ไม่เคยไปเกิดใน สุทธาวาสเลย ไม่ว่าจะเกิดตายกี่รอบก็ตาม.]

เทวดา ที่ได้ฌานระดับใดๆ, เคยเป็นเทวดามาก่อน แต่ถ้าจุติ (ตาย) ในขณะมี สมาธิฌาน แล้วมาเกิดในภพเทวดาซ้ำอีกรอบ เรียกว่า 'อนาคามี.' หรือ เคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่ตายในขณะมี สมาธิฌาน (ซึ่งยังไม่บรรลุอรหัตตผล) ก็จะมาเกิดใน อรูปพรหม เป็นอนาคามี เช่นกัน.

สรุปว่า สัตว์ ที่ทำสมาธิฌานได้แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในภพมนุษย์ หรือ สวรรค์ หรือ รูปพรหม, ถ้าตายลงในระหว่างนั้น ก็จะได้ไปเกิดในภพสวรรค์ หรือ พรหม ที่ตรงกับ ฌานที่ตนทำได้. เทวดา อนาคามี ที่ยังมีเศษของกิเลสเหลือค้างอยู่ ย่อมมาเกิด ในภพนั้นอีกครั้งเดียว และจะปรินิพพาน ในภพนั้น.

<ตอนที่ 5/5>

เทวดาไร้ร่าง วาร์ปไป-มา ได้อิสระ อย่างกับนั่งเครื่อง time machine, นี่แหละ เทวดาในอาณาจักร อรูปพรหม.

เทวดาในอาณาจักร อรูปพรหม เป็นเทวดา ที่มีจิตรับรู้ปัจจุบัน (วิญญาณขันธ์) เบาบางมาก. จิตรับรู้เบาบางนี้ ไม่เรียกว่า ฌาน (เรียกชื่อ ตามสภาวะจิตนั้นๆ) และมีความเบาบาง 4 ระดับ. คือ จิตรับรู้เบาบาง (เพราะดับ 'รูปสัญญา' 'ปฏิฆะสัญญา' 'นานัตตะสัญญา') ไปจนถึงขั้นไม่รับรู้อดีต ไม่รับรู้อนาคต (ไร้สัญญาขันธ์อย่างสิ้นเชิง มีสังขารขันธ์เบาบาง หรือไม่มี คงเหลือแต่ วิญญาณขันธ์), บางครั้งก็รู้ บางครั้งก็ไม่รู้.

ความเบาบางของจิต ถ้าเทียบกับ อนุภาคทางฟิสิกส์ ก็คล้าย นิวตริโน (neutrino) หรือที่นักวิทยาศาสตร์เรียกมันว่า อนุภาคผี เพราะจับตัวตนของมันไม่ได้สักที - แม้ในปัจจุบัน ก็ยังจับไม่ได้ แต่รู้ว่ามันมีอยู่ในเอกภพนี้แหละ ที่ไหนสักแห่ง.

อรูปพรหม แบ่งเป็น 4 เขตย่อย มีชื่อเรียกว่า 'อากาสานัญจายตนะ' 'วิญญานัญจายตนะ' 'อากิญจัญญายตนะ' และ 'เนวสัญญานาสัญญายาตนะ'. และในแต่ละเขต ก็สามารถย่อยชั้นได้อีก.

(1) เขตอากาสานัญจายตนะ อยู่ในชั้นบรรยากาศของห้วงอวกาศอันไกลโพ้น แผ่ออกไปทุกทิศทาง 360 องศา คล้ายก้อนอากาศทรงกลม แต่ไร้ขนาด ไร้ขอบเขต ทะลุทะลวงไปในกาแล็กซี่ใดๆ ก็ได้.

เทวดาชั้นนี้ สามารถรู้สึกรับรู้ ปริมาณพื้นที่ไปในอวกาศ ไม่มีที่สิ้นสุด. การท่องไปในอวกาศอันว่างเปล่า ด้วยพลังของจิตอันเบาบางนี้ ได้ข้อสรุปว่า 'อากาศ ไม่มีที่สุด.' พลังงานทางจิต ของเทวดา ในอาณาจักรนี้ จะไม่เรียกว่า ฌาน เพราะไม่มีคุณสมบัติ หรือพลังฤทธิ์ทางใจ แบบเทวดา รูปพรหม หรือเทวดาชั้นสวรรค์.

เทวดาอากาสานัญจายตนะ มีอายุขัย 20,000 กัป.

(2) เขตวิญญานัญจายตนะ, เทวดาในชั้นนี้ สถิตย์ 'แทรก' ซ้อนอยู่ในชั้นบรรยากาศแบบเดียวกับ อากาสานัญจายตนะ. โดยเกาะอาศัยจิตที่เป็น ธาตุรู้ (วิญญาณ) ท่องเที่ยวไปในที่ไหน เวลาใด ในห้วงอวกาศ และไปได้ไกลเท่าที่ตนอยากรู้.

สรุปว่า เทวดาชั้นนี้ สามารถรับรู้ ปริมาณพื้นที่ในอวกาศ เท่าที่ตนเองอยากรู้ นั่นเอง, จึงไปได้ลึก ละเอียด และไกลกว่า เทวดาอากาสานัญจายตนะ ถึงกับได้ข้อสรุปว่า 'วิญญาณ ไม่มีที่สุด.'

เทวดาวิญญาณัญจายตนะ มีอายุขัย 40,000 กัป.

(3) เขตอากิญจัญญายตนะ มีขอบเขตราวหนึ่งจักรวาล รวมเอาทุกๆ กาแล็กซี่ (ทั้งกาแล็กซี่ว่างเปล่า ไม่ว่างเปล่า และหลุมดำ) ไว้ด้วยกัน. เทวดาในชั้นนี้ สถิตย์ 'แทรก' ซ้อนอยู่ในชั้นบรรยากาศแบบเดียวกับ อากาสานัญจายตนะ และเกาะอาศัย ธาตุรู้ หรือ วิญญาณ เช่นเดียวกับ เทวดาวิญญานัญจายตนะ. แต่มีพลังทางจิตอันแผ่วเบา ละเอียดกว่ามาก จึงมีโอกาสท่องเที่ยวไปได้จน สุดทาง สุดขอบ (ที่จริง ไม่มีขอบ), แล้วเห็นความจริงว่า ในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไร มีแต่อวกาศว่างๆ. จึงได้ข้อสรุปว่า 'อะไร อะไร ก็ไม่มี'.

เทวดาอากิญจัญญายตนะ มีอายุขัย 60,000 กัป.

(4) เขตเนวสัญญานาสัญญายาตนะ เป็นเขตที่กินเนื้อที่อวกาศทั้งหมดทั้งมวล. เทวดาในชั้นนี้ สถิตย์ 'แทรก' ซ้อนอยู่ในชั้นบรรยากาศแบบเดียวกับ อากาสานัญจายตนะ และเกาะอาศัย ธาตุรู้ หรือ วิญญาณ เช่นเดียวกับ เทวดาวิญญานัญจายตนะ. และได้รู้แบบเดียวกันกับ ที่เทวดาอากิญจัญญายตนะรู้ซึ้งแล้ว (ว่าอะไร อะไร ก็ไม่มี), จึงปลงตก ทำใจ ถอดใจ ถอนพลังทางจิตของตน ที่มีอยู่ทั้งหมดออกไป เหลือไว้แค่ สังขารขันธ์ และ วิญญาณขันธ์ เท่านั้น ไม่มีสัญญาขันธ์ ไม่มีเวทนาขันธ์, ทำให้จิตรับรู้ที่มีอยู่ เบาบางสุดๆ (แบบสายป่าน ที่กำลังจะขาด) จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่รู้ ก็ไม่ใช่ จะว่ามี ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มี ก็ไม่ใช่.

ผู้ที่ไปเกิดในภพนี้ เรียกว่า อสัญญีสัตว์. พระพุทธเจ้า เรียกภพของอสัญญีส้ตว์นี้ว่า สุทธาวาส. อสัญญีสัตว์ นับอายุขัยไม่ได้. ถ้าตายในภพนี้ (ซึ่งไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่) และยังไม่บรรลุอรหัตตผล ก็จะเวียนกลับไปเกิดในภพเทวดาชั้นอื่น ที่ต่ำกว่า (แต่ไม่ใช่ภพมนุษย์) เช่น จาตุมหาราชิกา.

เกิดเป็นเทวดาในชั้นนี้ ถือว่า ซวยสุดๆ คือ จะเอายังไง จะไปทางไหน จะตัดอาสวะกิเลส หรือ จะไปเกิดใหม่ หรือจะตายเสียโดยเร็ว ก็ทำไม่ได้ คือ ค้างเติ่งอยู่ในภพนั้นไป (เกือบจะ) ตลอดกาล.

ด้วยเหตุนี้ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา จึงไม่มีระบุอายุขัย ของเทวดาเนวสัญญานาสัญญายาตนะ ไว้เลย.

สรุปว่า อาณาจักรรูปพรหม มีขอบเขต ตั้งแต่จักรวาล (universe) ที่นักฟิสิกส์-ดาราศาสตร์ บอกว่า เอกภพนี้ เกิดจาก Big bang เมื่อ 13,800 ล้านปี มาแล้ว และขยายตัวออกไปเรื่อยๆ ด้วยอัตราเร็ว เท่ากับความเร็วแสง และไม่มีทีท่าว่า จะไปสิ้นสุดเมื่อใด. นี่คือ หนึ่งจักรวาล ที่มนุษย์เรารู้จัก. แต่อาณาจักรอรูปพรหม เลยออกไปไกลกว่านั้นอีกมากมาย.

ดังนั้น อรูปพรหม จึงมีอายุยาวนานมาก มากกว่า การเกิดของหนึ่งมหาจักรวาล (คือ เกิดบิ๊กแบงหลายครั้ง - ถ้าบิ๊กแบงมีจริง). จึงทำให้เทวดาในอาณาจักรนี้ เข้าใจว่า ตนเป็นอมตะ. ศาสดา หรือ "พระเจ้า" ในศาสนาอื่น ลัทธิอื่น ก็จัดอยู่ในสัตว์อสัญญี ด้วยเช่นกัน.

 

จ. บทสรุป - จุดจบของเทวดา จุดจบของจักรวาล

วัฏจักรการเกิด ของสัตว์ทุกชนิด ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น สัตว์นรก เดรัจฉาน เปรต โอปปาติกะ เทวดา มาร พรหม เทพเจ้า ไม่ว่าจะในศาสนาใดก็ตาม, ล้วนแต่อยู่ในกระบวนการ เกิด เสื่อม เสื่อมต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งดับสลาย แล้วก็ไปเวียนเกิดใหม่ จนนับรอบไม่ถ้วน. พระเจ้าที่ว่า อมตะ (ในชั้นสุทธาวาส) ในที่สุดก็ตายเหมือนกัน.

การเกิด คือ ต้นเหตุ ของความทุกข์ ของสัตว์ทุกผู้. เมื่อเกิดแล้ว ก็ต้อง แก่ เจ็บ ตาย, แก่ เจ็บ ตาย นี่แหละ ทุกข์ชัดๆ แต่สัตว์โดยทั่วไป ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และไม่รู้วิธีที่จะไปให้พ้นจาก แก่ เจ็บ ตาย. มีเพียง พระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธะ พระองค์เดียวเท่านั้น ที่เกิดมาเพื่อตรัสรู้ว่า รากเหง้าของ แก่ และ ตาย นั้นมาจาก การเกิด. ดังนั้น พระองค์จึงมุ่งแสวงหา "วิธีแก้ปัญหาการเกิด" ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายแล้ว จะได้ไม่ต้องเกิดอีก ต้องทำอย่างไร ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่.

พระองค์ เรียกวัฏจักรการเกิด-ดับ นี้ว่า "ปฏิจจสมุปบาท." พร้อมกล่าวเชิญชวน โน้มน้าว วิงวอน ขอร้อง สัตว์ทั้งหลาย ที่มีสัญญา อ่านข้อธรรมรู้ ดูข้อธรรมเป็น แลเห็นโทษภัยในวัฏฏสงสาร แล้วหันมาประพฤติปฏิบัติ ตามแนวทางที่พระองค์ตรัสรู้ ซึ่งได้นำมาผูกร้อยเรียงกัน เป็นระเบียบแห่งถ้อยคำ (พุทธวจน) ที่สวยงาม ชัดเจน แจ่มแจ้ง เหมือนการหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชักของลึกให้ตื้น ทำที่มืดให้สว่าง อันเทวดา และมนุษย์ พึงจะศึกษาเรียนรู้ได้ ไม่ว่ากาลเวลาใด ย่อมได้บรรลุธรรมขั้นอรหัตผล ในชาติปัจจุบัน เท่ากับเป็นการตัดเส้นใยของการเกิด ในภพถัดไป.

ระเบียบแห่งถ้อยคำที่ว่านี้ คือ "อิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท-อริยสัจสี่."

พระพุทธเจ้า แก้ปัญหา 'การเกิด'
เพื่อจะได้ ไม่แก่ ไม่ตาย
ด้วย "อิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท-อริยสัจสี่."

พ่อมด หมอผี แก้ปัญหา 'ทุคติ' หลังการตาย
ด้วย ไสยศาสตร์ มนต์ดำ มายา.

นักวิทยาศาสตร์ แก้ปัญหา 'ทุกขภาพ' หลังการเกิด
ด้วย เทคโนโลยี.

จบ.

หมายเหตุ -
ผมตั้งสมมุติฐานไว้ 2 ประการ คือ

(1)
หากมองในแง่ของ มานุษยนิยม (antropic principle), ที่อยู่อาศัย (home | world) และพาหะ สำหรับเดินทาง ของเทวดา ได้แก่ 3 อนุภาคนี้ คือ นิวตริโน (neutrino) กราวิตอน (graviton) และ แสง (photon). เพราะอนุภาคทั้งสาม มีอยู่ทั่วไปในอวกาศที่ไร้ขอบเขต และไม่มีขีดจำกัดของเวลา (ศรของเวลา พุ่งออกไปทุกทิศทาง 360 องศา ในระยะอนันต์)

หากวันใด ที่นักฟิสิกส์ ค้นพบร่องรอย หรือมีสิ่งประหลาด ที่อธิบายไม่ได้ ด้วยกฎควอนตัมฟิสิกส์, ปรากฏอยู่รอบๆ อนุภาคดังกล่าว สิ่งนั้นคือ เทวดา (ชีวะ-เทวดา).

และในลักษณะเดียวกัน อนุภาคความโน้มถ่วงยิ่งยวด ในหลุมดำ (gluon, quantum gravity) ก็คือที่อยู่อาศัย ของ สัตว์นรก (ชีวะ-นรก) ด้วยเช่นกัน.

(2)
เอกภพ หรือจักรวาล (universe) หรือ สรรพสิ่ง จะสลายไปทั้งหมด โดยการยุบตัวไปสู่ภาวะที่เรียกว่า บิ๊กครันช์ (big crunch) ตามแบบจำลองของ ฟรีดแมนน์ ( Alexander Friedman), หรือที่พระพุทธเจ้า เรียกภาวะธรรมอย่างหนึ่งว่า วิมุตติ-นิพพาน. จะเกิดขึ้นได้ และเป็นจริง ภายใต้สมการนี้ ซึ่งผมเรียกว่า "สมการของจักรวาล." สมการของจักรวาล เป็นสมการทั้งทางคณิตศาสตร์ และ สมการทางมานุษยนิยม (anthropics).

สมการที่ 1
อนันต์ (infinity)
= ผลรวม (zigma) ของ พลังงาน (energy) เวลา (time)

สมการที่ 2
ศูนย์สัมบูรณ์ (absolute zero |0|) หรือ
สุญญตา (absolute nothing) ของสิ่งใดๆ (วัตถุ บุคคล)
= พลังงาน (energy) เวลา (time)
หารด้วย ค่าอนันต์ (infinity) ของ สมการที่ 1

โดยที่ -
อนันต์ หมายถึง ค่าอนันต์ทางคณิตศาสตร์ (infinity) และหมายถึง สังสารวัฏ (cycle of rebirth),

|O| หมายถึง ศูนย์สัมบูรณ์ทางคณิตศาสตร์ (absolute zero ไม่ใช่ 0 kelvin) และหมายถึง ภาวะความว่างเปล่า (สุญญตา - absolute nothing),

e หมายถึง พลังงาน (energy) และรวมถึง มวล (mass) ที่ถูกแปลงเป็นพลังงาน (m.c^2)

t หมายถึง เวลา (time) และรวมถึง อวกาศ (space) กับ ความเร็วแสง (c).

สมการที่ 2 จะยังคงเป็นสมการในอุดมคติ แบบมานุษยนิยม ตราบเท่าที่การหาร ยังเหลือเศษ.

ถ้าสมมุติฐานของผมถูกต้อง และมีนักวิทยาศาสตร์ พิสูจน์รับรองว่าจริง, ผมอาจจะได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์-พุทธศาสน์. แต่ผมอาจตายไปแล้ว 25 ปี หรือ 50 ปี.

สู่ดิน ชาวหินฟ้า
-นักวิชาการ สัมพัทธภาพ วิทยาศาสตร์-พุทธศาสน์ และ
-ศิลปิน วรรณกรรม

10 กันยายน 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]

thinking focus new idea today
คำคม คำคิด แง่คิด ชีวิตดี
 


igood media copyright
 
SUDIN CHAOHINFA, igoodmedia.net : Administration and Producer
Copyright © 2010-2018 intelligence good media homeschool.
All rights reserved. me@igoodmedia.net