|
บทโครงร่าง (Story outline) The premise
Synopsis
Plot Structure
วันนี้ ผมรู้สึกตัว ตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไร, แต่รู้สึกว่า สดชื่นกว่าทุกวัน. ผมยังคงถูกขังไว้ในห้อง โดยไม่มีโอกาสรู้เลยว่า ที่นี่ คือที่ไหน อยู่ส่วนใดในแผนที่, โชคดีที่ไม่ได้ถูกมัดมือมัดเท้า. พวกมัน ปฏิบัติกับผมเช่นนี้ มาตั้งแต่แรก, ไม่รู้ว่าพวกมัน จะให้ผมอยู่ในฐานะอะไร ตัวประกัน หรือแขก หรือนักโทษ, เพราะมีอาหาร วางไว้ให้พร้อม. มีห้องน้ำ เตียงนอนค่อนข้างสบาย. เมื่อถึงเวลา, แผนหลบหนีของผมก็เริ่มขึ้น. ผมแกล้งนอนนิ่งๆ หลบมุมกล้องให้มากที่สุด. เวลาผ่านไปนาน. พวกมันรู้สึกผิดสังเกต จึงส่งคนสองคนมาดูผมที่ห้อง. คนพวกนั้น แต่งกายคล้ายทหารจีน ยุคขุนส่า นักผลิตและค้ายาเสพติดระดับโลก. แต่คงไม่ใช่ทหารหรอก, ผมเดาเอานะ. พวกมันสองคน ถือปืนเข้ามาในห้อง, ไม่เห็นผมอยู่ในนี้ มันจึงรื้อค้นทั่วห้อง. คนหนึ่งเจอทางหนีของผมแล้ว. เป็นไปตามแผนที่คิดไว้, ผมแอบทำ และซ่อนทางหนีเอาไว้. มันโมโหมาก รีบรายงานและเรียกพรรคพวก ให้ออกตามล่าผมทันที. ผมคิดเผื่อไวแล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่ผมหนีออกไป. หัวหน้าของพวกมัน บอกให้ตามไล่ล่าผม แบบจับเป็น. ใครทำให้ผมถึงตาย มันผู้นั้น นอกจากจะไม่มีโอกาส กลับมาแล้ว, ยังจะต้องตายตามผมไปด้วย. ผมคิดว่า ผมจะต้องมีความสำคัญบางอย่าง กับพวกมันแน่นอน, ถึงขนาดต้องออกคำสั่ง ไม่ให้ฆ่าผม, ให้จับผมเป็นๆ ส่งกลับมา. หัวหน้าของพวกมัน โมโหมาก ที่ปล่อยให้ผมหนีออกไปได้. และยิ่งโกรธหนักขึ้นไปอีก ที่ไม่ยอมติดเครื่องติดตามตัวกันหนี ให้ผมเสียแต่แรก. ผมมานึกอีกที ผมนี่ก็ฉลาดไม่เบานะ. ผมซ่อนตัวในผ้าห่ม ไม่ให้พวกมันเห็น, แอบเปิดช่องทางหนีไว้ก่อนหน้าที่พวกมันจะมา เพื่อลวงให้มันสับสน และเข้าใจผิด. ผมรอจนกระทั่งบ่าย, ทุกอย่างเงียบ. เข้าใจว่า พวกมันออกตามหาผม น่าจะไปกันเกือบทั้งหมด, โดยที่ไม่รู้ว่าผมยังอยู่ในบ้าน. ผมถือโอกาส พาตัวเอง หนีออกมาทาง ช่องทางหนี ซึ่งผมวางกลลวงไว้แล้ว. มันเป็นรูที่ลอดออกได้พอดี กับลำตัวผม. แต่ก่อนไป ผมได้ทำลาย กล้องวงจรปิดซะก่อน. คนพวกนั้น มันสะเพร่าน่าดู, ที่ปล่อยให้ ประตูห้องแล็บเปิดไว้, อาจเป็นเพราะ รีบรนเกินไปก็ได้. ผมแอบเข้าไปข้างใน, เห็นอะไร ที่พอเป็นประโยชน์ ก็คว้าเอาไว้ก่อน. ผมดึงลิ้นชักตู้ เปิดออกมา. รีบรื้อๆ ค้นๆ อย่างรวดเร็ว. จนกระทั่ง บังเอิญไปพบสิ่งหนึ่งเข้า. สิ่งนั้น มันสำคัญกับผมมาก, ทำให้ชีวิตการผจญภัยของผม เปลี่ยนไป. ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่า ในนั้นมีเงินอยู่, มันไม่ใช่น้อยๆ เลย. มันมีอยู่ห้าห่อ, ผมหยิบเอาเงินในลิ้นชัก ไปจนเกลี้ยง. ผมไม่เสียเวลานับ ว่าห่อหนึ่งมีเท่าไร. เอาเป็นว่า มันเป็นแบงค์พันล้วนๆ. ผมยัดเงินนั่น ใส่กระเป๋าเป้ สะพายหลัง ติดตัวไปด้วย. ผมคิดว่า, เงินแค่นี้ ไม่พอกับค่าเสียหาย ที่พวกเขาทำกับผมหรอก. นี่แค่เป็นค่าดอกเบี้ยเท่านั้น. ทีแรก ผมจะค้นหาอาวุธปืน ไว้ป้องกันสักกระบอก. แต่ไม่ทันเวลาแล้ว, เพราะมีเสียงคนเอะอะ เดินมาทางที่ผมซ่อนอยู่. ผมจึงรีบออกจากห้องแล็บ ก่อนที่พวกมันจะมาเห็น. ผมงัดประตูออกทางหลังบ้าน, หลบซิกแซกไปตามรั้วตึก. พยายามเร่งไปให้เร็วที่สุด เพื่อหลบกล้องวงจรปิด. ผมโชคดีมาก ที่ออกจากป่าช้านั่นได้. ผมตรงไปที่ถนนอีกด้าน เดินบุกป่าไร่ข้าวโพดของชาวบ้าน ที่ขนานไปกับแนวถนนดิน. ผมเดินไปเรื่อยๆ เป็นการอำพรางตัวไปด้วย. หนามแทงฝ่าเท้าเจ็บน่าดู. แต่ก็ต้องทน ย่ำเท้าเปล่าไปก่อน. ผมต้องรีบ และระวัง ให้มากที่สุด. โชคคงไม่เข้าข้างผม ตลอดไปแน่. ที่มุมถนนของหมู่บ้าน, ผมเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ขับรถจักรยานยนต์วิบาก และเสียงดัง ผ่านผมไป. เขาไม่เห็นผมหรอก เพราะซ่อนตัวในดงข้าวโพด. คิดว่า เขาคงไปซื้อของที่ร้านค้า ข้างหน้า, ผมเดาเอาน่ะ. สังเกตดูที่ด้านท้ายของเบาะนั่ง มีตระกร้าเปล่าใบหนึ่ง มัดติดรถไปด้วย. โชคดีที่วันนี้ ไม่มีคนพลุกพล่าน ผ่านไปมา, ไม่อย่างนั้น ผมต้องเป็นเป้าสายตาคนแถวนี้แน่ๆ. นานเกือบยี่สิบนาที ผมรู้สึกหิวแล้วละ. เสียงรถเครื่องนั่น กลับมาอีกครั้ง เป็นเด็กหนุ่มคนเดิมนั่นเอง. ผมต้องเสี่ยง ตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง, รอจังหวะรถ วิ่งมาถึงหัวมุมถนน. เขาชลอความเร็วรถลง, ผมผุดออกจากที่ซ่อน เข้าขวางทางไว้ เขาหยุดรถกระทันหัน เกือบชนผม และเกือบล้ม. ผมกล่าวขอโทษเขา และไม่พูดอ้อมค้อม ว่าจ้างให้เขาขับรถไปส่งผมที่ตลาด ผมจะจ่ายให้เขาสองพัน. เขามีท่าทีลังเล ผมไม่แน่ใจว่า เขาลังเลเพราะค่าจ้างน้อยไป หรือเพราะสาเหตุอื่น. แต่ผมเดาจากท่าที และสายตาของเขา คงเพราะเห็นผม เป็นคนแปลกหน้ามากกว่า. แถมแต่งกาย ไม่เหมือนชาวบ้านที่นี่, รองเท้าก็ไม่ใส่. ผมถามเด็กหนุ่มคนนั้นว่าชื่อ อะไร. เขาบอกว่าชื่อ นัท. ผมขอร้องเขาอีกครั้ง และสร้างแรงจูงใจ ด้วยการยื่นเงินให้เขาไปพันหนึ่ง เพื่อเป็นหลักประกัน ให้พาผมไปส่งที่ท่ารถ ที่มีรถยนต์ พอจะเดินทางออกจากหมู่บ้านนี้ได้. ผมหักเหความสนใจเขา เพื่อไม่ให้เขาสงสัยว่า ผมเป็นใคร มาจากไหน, ผมอ้างว่า อยากชมทิวทัศน์รอบๆ หมู่บ้าน เพราะผมเป็นนักสำรวจพื้นที่ เพื่อสร้างถนนตัดผ่าน ตอนนี้ เกิดพลัดหลงกับเพื่อนร่วมคณะ ต้องหาทางกลับบ้านเอง. โชคดี ที่นัทเชื่อผม, เขาบอก นี่นับว่าโชคดีนะ ที่รถคันนี้ เป็นรถวิบาก ไม่เช่นนั้น เขาไม่ยอมไปทางนี้เด็ดขาด.
ระหว่างทางอันแสนทุลักทุเล ผมกับนัท เริ่มคุ้นเคยกัน. เขามีพ่อ แม่ และน้องชาย. ตัวเขากำลังเรียน ชั้นปีที่ 3 ที่วิทยาลัยช่างเทคนิค ที่ตัวจังหวัด. พ่อของเขา มีอาชีพขับบรรทุกรับจ้าง. เขาเคยช่วยพ่อของเขา ขับรถไปส่งของบ่อยๆ. เขาชั่งเป็นลูกกตัญญูแท้ๆ. นัท ยังเล่าต่อไปว่า, เขามีทักษะพื้นฐาน วิชาช่าง เป็นอย่างดี. แต่เขาชอบงานอิเล็กทรอนิกส์ มากกว่า. ผมถามเขาว่า ที่วิทยาลัย มีสอนวิชาอิเล็กทรอนิกส์ อย่างนั้นรึ. เขาตอบว่าไม่ เขาเรียนรู้จากอินเทอร์เน็ต. พอถึงตลาด, ผมจ่ายเงินค่าจ้างที่เหลือให้เขา ตามสัญญา, ทั้งๆ ที่ ระยะทางแค่นี้ ห้าร้อยก็มากเกินแล้ว. ส่งผมเสร็จ, เขาบอกว่า ที่นี่คือท่ารถของหมู่บ้าน อีกไม่นาน จะมีรถออกจากที่นี่ ส่วนเขาขอตัวกลับบ้าน เพราะมีนัดกับเพื่อน. ผมพยายามหาเหตุผล ที่จะรั้งตัวเขาไว้ ให้ช่วยผมต่อไป. ผมถามเขาว่า ระหว่างไปตามที่เพื่อนนัด แล้วเสียเงิน กับช่วยเหลือผม ทำอะไรบางอย่าง ที่ง่ายกว่า แล้วได้เงิน, เขาจะเลือกทำอะไร. นัทหยุดคิด ชั่งน้ำหนักว่า ผมพูดจริงหรือไม่. เขารับรู้ได้ว่า ผมเป็นฝ่ายเสนอให้ก่อน และให้จริงตามสัญญา เขาน่าจะไว้ใจผม ในสิ่งที่ผมจะให้เขาทำ เพื่อแลกกับเงินค่าจ้าง. ผมบอกว่า เอาอย่างงี้, ระหว่างที่เขาตัดสินใจ ผมขอร้องให้เขา พาผมไปซื้อรองเท้า เสื้อผ้า ของที่จำเป็น และ ตัดผมด้วย. ผมเอาเงินสองพันบาท ยัดใส่กระเป๋าเขาโดยไม่รีรอ. เขารู้สึกแปลกใจ ในความใจกว้างของผม. ผมสังเกตดู เขามีสีหน้าเป็นมิตรมากขึ้น. ผมถามว่า รถจักรยานยนต์คันนี้ ซื้อมาราคาเท่าไร. นัทบอก สามหมื่น ซื้อมาจากเพื่อน. ผมถามเขาว่า อยากได้รถคันใหม่ มาแทนคันนี้หรือไม่? เขาบอกว่า อยากซิ, เขาต้องใช้เวลารวบรวมเงิน เกือบหนึ่งปี เพื่อซื้อรถคันนี้. นัทแกล้งถามผมว่า ผมจะซื้อรถคันใหม่ให้เขาหรือ. ผมตอบว่า ใช่ โดยไม่ลังเล. เขาแสดงอาการดีใจ และ แปลกใจ. เขาคิดว่า ผมคงพูดเล่น. ผมยื่นเงื่อนไขต่อไปว่า ผมจะซื้อให้จริงๆ และซื้อตอนนี้ด้วย, เพียงแต่ขอให้นัท รับปากว่า จะช่วยเหลือผมทำอะไรบางอย่าง และไม่ใช่สิ่งผิดกฏหมายด้วย. ดูเขามั่นใจในตัวผมมากขึ้น. นัท รับปากผมทันที. พอผมบอกว่า ผมต้องการเดินทางเข้ากรุงเทพ, เท่านั้นแหละ เขาหัวเราะขึ้นมาทันที. บอกว่า จะให้ขี่รถเก่าๆ คันนี้ พาเข้ากรุงเทพอย่างนั้นรึ. ผมไม่พูดอะไร, ปล่อยให้เขาหัวเราะไปก่อน. เมื่อสัญญาใจเริ่มผูกมัด, เขาพาผมไปซื้อรองเท้า เสื้อผ้า และ พาไปร้านตัดผม. แทนที่เขาจะพาไป ร้านตัดผม สำหรับผู้ชาย, เขากลับพาผม ไปที่ร้านแต่งผม สำหรับผู้หญิง. เขาอ้างว่า ร้านตัดผมหญิง มีบริการทั้งตัดผม ดัดผม ตกแต่ง ได้หลายสไตล์ แล้วังได้ดูของสวยๆ งามๆ อีกด้วย ซึ่งร้านแต่งผมสำหรับผู้ชาย ไม่มี. ผมคิดว่า เจ้าหมอนี่ มันก็บ้าได้ที่เหมือนกัน, ตกลง ผมก็ยอมตามความคิดบ้าๆ ไปกับเขาสักเรื่อง. ผมให้เขา นั่งรอผมในร้านตัดผม ด้วยกัน. ช่างตัดผมเป็นกะเทย, ผมใช้เวลาในร้านนี้ 45 นาที, เสร็จ นัทเกือบจำผมไม่ได้เหมือนกัน กลายเป็นคนละคนเลยทีเดียว ไม่คิดว่าร้านนี้จะสร้างเซอร์ไพร์ ให้กับผมและนัท ได้มากกมายขนาดนี้. ผมจึงขอบคุณช่างทำผม ด้วยรางวัลอย่างงาม.
นัทพาผมไป ที่ร้านขายรถจักรยานยนต์ ซึ่งอยู่ไกลออกไป เป็นตลาดใหญ่กว่า มีร้านขายรถเพียงร้านเดียว แต่เป็นร้านขนาดใหญ่ มีรถให้เลือกหลายคัน. เมื่อไปถึง ผมให้เขาเป็นคนเลือก. นัทไม่ใช่คนหัวสูง เขามีรสนิยมง่ายๆ, ไม่เช่นนั้น ผมคงเสียเงินไป กับการซื้อรถจักรยานยนต์ให้เขา ในราคาสูงเกินจริง. มันตลกตรงที่ แทนที่เขาจะเลือกคันหรูราคาแพง, แต่เขาเลือกรถ ตามสไตล์ที่เขาชอบ คือรถวิบาก แต่ซีซีสูงกว่าเท่านั้นเอง ในราคาแสนเศษๆ เขาคิดว่านั่นมันราคาสูงมากแล้ว เมื่อเทียบกับรถของเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน. ซึ่งทีแรกผมคิดว่า อย่างน้อย ก็สองแสนหรือสามแสน. ผมเห็นเขารู้สึกตื่นเต้นมากที่สุด ก็ตอนที่ได้นั่งบนเบาะ และรับใบเสร็จ เขายิ้มไม่หุบ เมื่อมีชื่อของเขาเป็นเจ้าของรถ. เขาเข้ามากอดผม แทนคำขอบคุณ. คราวนี้ ผมจริงจังมากขึ้น, ผมถามนัทว่า เขาขับรถยนต์ได้ไหม เขาตอบว่าได้. เขาเคยช่วยพ่อขับรถบรรทุก ไปจนถึงหาดใหญ่, แล้วรถเก๋งล่ะ เขาบอกไม่เคย ผมบอก รถเก๋งขับง่ายกว่าเยอะเลย. นัทรู้สึกตื่นเต้น ถ้าได้ขับรถเก๋งจริงๆ. ผมถามต่อว่า ถ้าจะให้ขับรถไปส่งที่กรุงเทพ เขาจะไปไหม เขาคิดว่าผมพูดหยอกเล่น และไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง ที่ว่าจะให้ขับรถไปส่งที่กรุงเทพนั่น เป็นรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์กันแน่ ก็ในเมื่อผมไม่มีรถยนต์ จะให้ไปส่งอย่างไร. ผมอธิบาย, ระหว่างที่นัท อยู่ช่วยงานผม ให้ทางร้านเอารถบรรจุกล่อง ส่งไปทางขนส่ง ตามที่อยู่ของเขา. ผมคิดว่า รถจะไปถึงปลายทาง อย่างน้อยสองหรือสามวัน, นั่นจะเป็นผลดีต่อตัวเขาด้วย. เขาถามผมว่า จะเอารถที่ไหนขับไปส่งผม. ผมพูดกระเซ้าว่า เขาคิดจริงๆ รึว่า ผมจะให้เขาขับรถมอเตอร์ไซค์ ฝ่าแดด ข้ามวันข้ามคืน เข้ากรุงเทพแบบนี้. ผมบอก ผมจะหาซื้อรถยนต์มือสองสักคัน แล้วให้นัทเป็นคนขับ. เขาแสดงท่าทีเข้าใจ, เป็นอันว่า ผมซื้อใจเขาได้จริงๆ. เมื่อจัดการเรื่องรถจักรยานยนต์ของนัทเสร็จแล้ว, นัทพาผม ไปหาซื้อรถมือสอง ซึ่งเขาพอจะรู้จักแหล่งอยู่บ้าง. นัท ขออนุญาตผม กลับบ้านไปบอกแม่ก่อน เพราะเป็นสัญญาที่เขาให้ไว้กับแม่ ว่าจะไปไหนไกล ต้องบอกก่อน. เขาเคยถูกพ่อดุ ที่ไม่กลับบ้านสองวัน พ่อของเขาดุมาก เขากลัวพ่อมากกว่าแม่. พ่อชอบบังคับให้เขาเรียนหมอ แต่เขารู้ตัวว่า เขาทำไม่ได้. ผมถามว่าชอบเรียนอะไร เขาบอก อยากเรียนสายอาชีพ คือ ซ่อมรถ. คราวนี้ ผมเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง เขาถามว่า หัวเราะทำไม ผมบอกมันแปลกดี ที่จริง ผมอยากจะพูดคำอื่น มากกว่า. เขาใฝ่ฝันว่า จะเป็นช่างซ่อม ที่ดีที่สุด จะได้ช่วยคนอื่น ที่รถเสีย และอีกอย่าง เดี๋ยวนี้ เป็นรถไฟฟ้าเสียส่วนใหญ่แล้ว เขาจึงต้องเรียนซ่อมรถไฟฟ้าด้วย. ในระหว่างนั่งซ้อนท้ายรถ, ผมยัดเงิน ใส่กระเป๋าเสื้อของเขา อีกห้าพันบาทไว้ติดตัว. เขาสงสัยว่า ทำไมให้เงินเขาตั้งมากมาย ทั้งๆ ที่ เขายังไม่ได้ทำอะไร ให้ผมเลย. ผมบอกนัทว่า ฟังให้ดีนะนัท ผมขอร้อง ให้เขาช่วยเหลือผม ไปจนสุดทาง ผมจะให้เงินเขา เรียนช่างจนจบ ผมบอกจริง และ เขาก็เชื่อ และ อย่าถามผมว่าผมเป็นใคร และจะทำอะไร ขอให้ทำ ตามที่ผมสั่งก็พอ. เขาตกลง อย่างไร้เงื่อนไข. งานนี้ผมจ่ายไปเยอะ แต่ผมไม่เสียดายมันหรอก เพราะผมคิดว่า จำเป็นต้องพึ่งพาเขา. ที่จริงผมยังมีเงินอีกเยอะ ที่นัทยังไม่รู้. ทีแรก นัทเองก็แปลกใจว่า ผมเอาเงินมาจากไหน ตั้งมากมาย จึงสามารถซื้อรถยนต์ได้อีกหนึ่งคัน แต่เขาไม่กล้าถาม. ผมได้รถเก๋งเก่าสภาพดีคันหนึ่ง เป็นรถบ้าน ที่เจ้าของร้อนเงิน, ใช้เงินไปอีก ห้าแสนบาทเศษ แถมเศษอีกเล็กน้อย แลกกับความรวดเร็ว ในการจัดเตรียมเอกสาร หลักฐานประจำตัวรถ. ผมจำเป็นต้องเลือกรถสภาพดี เพราะไม่ต้องการ ให้มีปัญหา ระหว่างเดินทาง. จากนั้น ผมก็เอารถจักรยานยนต์คันเก่าของเขา ฝากขายต่อ. ผมให้นัทลองขับดูก่อน เขาพอใจมาก และดีใจมาก ที่มีโอกาสขับรถหรู และแรง. ก่อนออกเดินทาง นัทขอโทรศัพท์ถึงแม่ก่อน. ผมบอกตกลง นัทหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา.
นั่นคือ สิ่งที่ผมคิด วิตกกังวลไว้ล่วงหน้า ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้น อย่างแน่นอน. ... #ผมจับข้อมือเขาไว้. แล้วบอกห้ามว่า อย่าใช้โทรศัพท์นั่น. เขาเริ่มแสดงอาการไม่พอใจผมนิดๆ ที่ห้ามเขาพูดกับพ่อ. ผมยังไม่บอกเหตุผลในตอนนี้ เพราะเกรงเขาจะตื่นตระหนก ถ้าเขารู้ความจริงบางอย่าง. ผมบอกให้นัทขับรถไปเรื่อยๆ เขายินดีทำตามที่ผมสั่ง. บรรยากาศขุ่นมัว เริ่มโปรยปรายลงมา ขับไล่ความรู้สึกที่เป็นมิตรออกไป. เขาไม่ถามในสิ่งที่ผมห้าม. ผมรอจนอารมณ์ของเขา เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น. มันถึงเวลาที่ผมจะบอกความจริงกับเขา. ผมกำลังถูกไล่ล่าจากคนร้าย ที่ผมไม่รู้จัก. และพวกมัน จะทำทุกวิถีทาง เพื่อบีบคั้นผู้ที่ช่วยเหลือผม พาหนีไปจากพวกมัน. ผมให้เหตุผลว่า ถ้านัทโทรถึงพ่อกับแม่ คนพวกนั้นจะจับสัญญาณโทรศัพท์ได้ และสามารถรู้ตำแหน่งของเขากับนัทได้. และ เมื่อรู้ว่านัทเป็นใคร เขาก็จะรู้ทันทีว่า นัทเป็นลูกของใคร. จากนั้น พวกคนร้าย ก็จะจับพ่อกับแม่ของเขา เป็นตัวประกัน เพื่อเอาไว้แลกเขาทั้งสองคน. ผมบอกเขาเพียงเท่านี้ก่อน ทั้งๆ ที่ในใจแล้ว ผมรู้ดีว่า ผมกำลังลากพา นัทกับครอบครัวของเขา ให้ตกอยู่ในภาวะอันตราย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว. ผมบอกว่า ในร่างกายของผม มีเลือด ที่มีคุณสมบัติ ต่อต้านไวรัส ชนิดหนึ่ง ซึ่งพวกคนร้ายต้องการ. ผมหนีพวกมันมา. คนพวกนั้น มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในการควบคุมเหยื่อ ไม่ให้หนีออกไปได้. ผมหยิบเอาวัตถุชิ้นหนึ่ง คล้ายเม็ดกระดุม ขึ้นมา ให้เขาดูเป็นหลักฐาน แล้วบอกว่า นี่คือ อุปกรณ์ติดตามตัวเหยื่อ ที่ผมขโมยมาได้. นัทสงสัยว่า ผมจะหนีพ้นพวกคนร้ายหรือ เพราะขโมยเอาเครื่องบ้าๆ นี่ ติดตัวมาด้วย, ซึ่งเท่ากับว่าส่งสัญญาณให้พวกมัน รู้ตำแหน่งตลอดเวลา. ผมบอกว่า ผมรู้วิธีหยุดมัน, ตอนนี้ มันไม่ทำงาน แล้วผมก็เก็บมันไว้ ในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง. นี่คือความจริงทั้งหมด ที่ผมเปิดเผย ให้เพื่อนร่วมชะตากรรม ฟังจนหมดสิ้น ไม่เหลือความลับใดๆ. ผมสังเกตว่า นัท รู้สึกคลายใจ และ หายสงสัยในตัวผมมากขึ้น. เขาเริ่มเป็นห่วงพ่อกับแม่ ขึ้นมาทันที. ตราบใดที่พวกคนร้ายยังไม่รู้ว่า นัทอยู่กับผม พ่อกับแม่ของเขา จะยังคงปลอดภัย. ดังนั้น ผมจึงแนะนำว่า ผมกับนัท พยายามอยู่ให้ห่างผู้คนเข้าไว้. เขาถามผมว่า จะทำอย่างไรต่อไป เมื่อผมไปถึงกรุงเทพแล้ว. ผมบอกว่า จะส่งนัทกลับบ้าน ทางรถยนต์ เพราะภาระกิจเสร็จสิ้นแล้ว. จากนั้น ผมจะขับรถไปเอง. นัทสงสัยว่า แล้วทำไม ผมไม่ขับมันไปเอง เสียแต่ตอนนี้ล่ะ. ผมบอกว่า ผมไม่มีผู้ช่วย เผื่อผมง่วง หรือเผลอหลับ, พวกคนร้ายอาจตามมาทัน ทุกอย่าง ก็จบกันพอดี. เมื่อถึงเวลาสองทุ่ม พวกเราขับรถมาได้ไกลมากแล้ว, จึงจอดแวะพักเติมน้ำมันรถ. ระหว่างเติมน้ำมัน ผมขอรออยู่ในรถจะดีกว่า. และ อนุญาตให้นัท ไปหาซื้อของกินตามลำพัง และสั่งกำชับ เสร็จแล้วให้รีบกลับมา เพราะระยะทางยังอีกไกล.
ผมรอนัทอยู่ในรถ นานผิดสังเกต. ผมเริ่มสงสัยว่า เขาอาจจะก่อเรื่องไม่สบายใจ ให้ผมเสียแล้ว. ผมเปิดประตูรถ แล้วเดินออกไปตามหาเขา. ผมถามคนที่รู้เห็นเหตุการณ์, มีผู้ชายคนหนึ่งบอกว่า เห็นเขาขึ้นรถบัสประจำทาง คันหนึ่งไปแล้ว ไปทางทิศเหนือ, แต่อีกคน บอกว่าไปทางทิศใต้. ตกลงมันทางไหนกันแน่, ในสองทางเลือก ไม่ถูกก็ผิด. แต่ผมใช้วิธีการตามแบบฉบับของผม เป็นตัวตัดสิน. ผมรีบกลับไปที่รถ ปิดประตู ขับมันออกไปจากปั๊มพ์โดยเร็ว. ผมไม่ได้ย้อนกลับไปทางเดิม ตามที่คิด แต่ผมไปตามที่ผมรู้. ไม่นาน ผมเห็นรถบัสสีเหลืองคันหนึ่ง มันกำลังวิ่งอยู่ข้างหน้าผม อาจเป็นคันนี้ก็ได้ ต้องพิสูจน์กัน. ผมขับแซงรถบัส ไปทางด้านซ้าย แล้วเบียดไปทางขวา แล้วชลอความเร็ว จนกระทั่งรถหยุด. ผมเดินลงจากรถ คนขับรถบัส แสดงอารมณ์เสียออกมา สบถด่าโคตรเง่าศักราชของผม อย่างเสียๆ หายๆ. แต่ผมไม่พูดอะไร เพราะถ้ามีใคร ขับรถปาดหน้าผมแบบนี้ ผมก็คงด่าไปเหมือนกัน. ผมเดินไปเคาะประตูรถบัส, ทันทีที่ประตูเปิด ผมรีบเข้าไปบนรถ ซึ่งมีผู้โดยสารแค่สี่ห้าคน ผมใช้สายตาสแกนหาแค่แว่บเดียว. นัท เป็นผู้โดยสารคนที่หก นั่งอยู่เบาะท้ายรถ. ก่อนที่ผมจะขยับตัว ทำในสิ่งที่ต้องการ ผมต้องเผชิญหน้ากับ พนักงานประจำรถคนหนึ่ง ร่างกำยำ เดินมาผลักอกผม. ผมชกไปทีหนึ่ง ตอนที่เขาเผลอ แล้วเอามือ ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ทำเป็นปืน เพื่อข่มขู่. แผนของผมได้ผล คงสยบความซ่าของเขา ได้ระยะหนึ่ง. ผมรีบไปลากเอาตัวนัท ลงมาจากรถบัส. จากนั้น คนขับรถบัสก็รีบขับออกไป. โชคดี ที่เจ้าของรถไม่กล้ายุ่งกับผมมากไปกว่านี้, ไม่เช่นนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จะเล่นบทอะไร เพื่อตบตาพวกเขาต่อ.
ผมให้นัทขับรถ หลีกไปอีกเส้นทางหนึ่ง. เขาถามผมว่า ผมรู้ได้อย่างไร ว่าเขาจะไม่ย้อนกลับ ทางเดิม. ผมเอามือของผม ล้วงเข้าไปใน กระเป๋าเสื้อ ของเขา แล้วหยิบเม็ดกระดุมออกมา เพื่อบอกความจริงแก่เขา. เขาถามว่า นั่นอะไร มันเข้าไปอยู่ในกระเป๋าของเขา ตั้งแต่เมื่อไร. ผมอธิบายต่อไปว่า เพราะไอ้นี่นี่แหละ ที่ทำให้ผมรู้ว่า เขาอยู่จุดไหน ในประเทศนี้ หรือโลกใบนี้. ผมบอกว่า ผมแอบเปิดสวิทชย์มันก่อน แล้วยัดมันใส่ลงไปในกระเป๋าของนัท. เม็ดกระดุมนั่น มันส่งสัญญาณ เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ของผมได้ และ มันก็เชื่อมต่อ กับเครื่องรับสัญญาณ ของคนร้าย ได้เช่นกัน. ผมกับนัท จะต้องรีบหนีไป ให้พ้นจากเขตนี้ โดยเร็วที่สุด. ผมรีบเอาเข็ม จิ้มปุ่มทั้งสาม แบบมั่วๆ ไป ให้มันช็อต หรือไม่ก็ทำให้มันสับสน. ป่านนี้ พวกคนร้าย คงรู้ตำแหน่งของผมแล้ว ผมเหวี่ยงมันทิ้งไป. สั่งให้นัท เร่งความเร็วรถขึ้นอีก แล้วขับหลบอ้อมไปทางตะวันออก ซึ่งจะทำให้ ระยะทางถึงกรุงเทพ ไกลขึ้น เพราะผมไม่มีทางเลือกอื่น ที่ดีกว่านี้. พวกมัน คงสับสนไม่น้อย ที่ตามผมไม่เจอ. มันจะเจอได้อย่างไร ในเมื่อ ผมแวะไปภาคอีสาน แล้ววกกลับเข้ากรุงเทพ ผ่านสระบุรี ถึงกรุงเทพ ก็ตอนสาย ของอีกวัน. ผมรักษาสัญญา ที่ให้ไว้กับนัท, ก่อนอื่น ผมไปเปิดบัญชีเงินฝาก กับธนาคารแห่งหนึ่ง สี่แสนบาท ในชื่อของเขา ไว้เป็นค่าเรียนหนังสือ. เขากล่าวขอบคุณผม อย่างซาบซึ้งใจ และ เพื่อเป็นการตอบแทน เขาอาสาจะขับรถให้ผม ไปทำธุระที่กรุงเทพให้เสร็จเสียก่อน จึงจะกลับบ้าน.
ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้อกลม ปูดขึ้นมาอุดที่สมอง และมีแรงบางอย่าง ดูดเอาเลือดจากหัวใจของผมออกไปจนเกลี้ยง, รู้สึกชา และหายใจไม่ออก อยู่ครู่หนึ่ง. น้ำตาของผม มันระเบิดออกมา แต่ไม่มีเสียงร้องออกมาจากปาก เพราะมีก้อนเนื้อ มาอุดจมูกและลำคอไว้. มันเป็นเช่นนั้น อยู่พักหนึ่ง, ผมบอกไม่ได้ว่า ความสงสาร และ ความเคียดแค้น อะไรมันเกิดก่อนหลังกัน. ผมรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด. ผมไม่รู้ว่า จะจัดการเรื่องนี้ อย่างไรดี. แต่ในที่สุด ผมขอร้องให้ อาคม พาพ่อกับแม่ของผม มาซ่อนตัว ที่กรุงเทพ. อาคมรับปาก และ ถามผมว่า เหตุการณ์อันชั่วร้าย มันเกิดกับครอบครัวของผม ได้อย่างไร. ผมเล่าอย่างรวบรัดว่า ผมถูกกลุ่มคนร้าย จับตัวไป แต่หนีรอด ออกมาได้. พวกมัน กำลังตามตัวผมอยู่ และ พวกมัน จะต้องตามตัวผม ให้พบแบบเป็นๆ. พวกมัน จะไม่ฆ่าผม แต่ผมจำเป็นต้องหนี. อาคม ถามว่า ผมจะไปที่ไหน และ จะทำอย่างไรต่อไป ผมบอก ผมไม่รู้. ผมเดินกลับมาที่รถ ภายในรถ ว่างเปล่า, นัทหายไปอีกแล้ว. ผมภาวนาว่า อย่าให้เขา ทรยศผม เป็นครั้งที่สองเลย. ผมตะโกนเรียกนัท และตามหาเขาบริเวณนั้น, ที่แท้ เขาไปแอบร้องไห้ที่มุมตึก. ในมือของเขาถือหนังสือพิมพ์, ผมหยิบมันมา เปิดอ่านข่าวในนั้น. พ่อแม่ของนัท ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม. นี่มันร้ายแรงยิ่งกว่าที่คิดไว้เสียอีก. นัทบอกว่า พ่อกับแม่ถูกคนร้ายจับไป แต่พวกมันก็ปล่อยออกมา. พ่อผมตัดสินใจไปแจ้งความกับตำรวจ. ไม่นาน พวกเขาก็ถูกฆ่าตาย, ตำรวจช่วยอะไรไม่ได้เลย. ผมบอกเขาว่า ผมก็ตกอยู่ในสถานการณ์ เดียวกันกับเขา, ลูกเมียก็ถูกมันฆ่าตาย เช่นเดียวกัน. เมื่อเขาได้ฟังเรื่องร้ายๆ ของผม. ทำให้เขาคลายใจขึ้นมาบ้าง. ผมถามนัทว่า เขาจะจัดการอย่างไรต่อ. นัทบอกไม่รู้ จะให้เขาทำอะไรก็ได้ เพราะเขาก็ไม่มีที่ไปเช่นกัน. ผมจำเป็น ต้องสืบให้รู้แน่ชัดว่า กลุ่มคนร้าย เป็นใคร. ทำไม ตำรวจไม่รู้เบาะแส และ แหล่งซ้องสุม ของพวกมันเลย. แต่ผมรู้ดีว่า แหล่งกบดาน ของพวกมัน ซ่อนอยู่ตรงไหน. มิน่าเล่า พวกมันจึงต้อง ออกตามล่าผม เพื่อปิดปากเรื่องของพวกมัน ไม่ให้โลกภายนอกรู้. ผมคิดว่า ผมก็ไม่เหลืออะไรเช่นกัน, ลูกเมียผม พวกมันก็ฆ่าตายหมด. แต่ผมอยู่ข้างนอก เท่ากับว่า ผมอยู่เหนือพวกมันหนึ่งก้าว. แม้ผมจะเสียเปรียบ ด้านกำลัง แต่ผม ก็ได้เปรียบ รู้ยุทธภูมิของพวกมัน.
ข่าวจากหนังสือพิมพ์ ตีพิมพ์ไปทั่ว ว่ามีคนไทยหลายคน ในเขตจังหวัดลำปาง เชียงราย เชียงใหม่ หายสาบสูญไป อย่างไร้ร่องรอย. ตำรวจไม่สามารถสืบหา ต้นตอได้. ผมบอกเธอว่า ผมรู้แหล่งส้องสุมของพวกคนร้าย. ศินาท บอกว่า เธอจะไปแจ้งความ. ผมบอกทำอย่างนั้นไม่ได้ ผู้ที่ไปแจ้งความ ก็จะถูกฆ่าไปด้วย. ทุกอย่างต้องเป็นความลับ ศินาท หาทางออก โดยให้ผมไว้ใจเธอ นำความลับไปเล่าให้ นายทหารคนหนึ่งฟัง, พันเอกกระจ่าง ประจำหน่วยจู่โจม กองทัพภาคที่สาม. ผมไม่รอพบใครอีกแล้ว, ก่อนผมจะไปตามทางของผม เธอขอร้อง ให้ผมเขียนบันทึก สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไว้ให้เธอ, มันอาจเป็นทางออกที่ดี สำหรับผมก็ได้. ผมตกลง เขียนจดหมาย เล่าความจริง ต่อจากนั้น ให้เป็นหน้าที่ของ ศินาท จัดการเอง. ผมไม่มีทางเลือกอื่น ที่ดีกว่าแนวทางของ ศินาท.
ผมใช้เงินที่เหลือทั้งหมด ไปซื้ออาวุธ. เงินถึงอาวุธก็ได้มาเร็ว. นัทพาผม ไปเอารถจักรยานยนต์ ที่ผมซื้อให้ ที่บ้านของเขา. มันยังอยู่ดี, นัทขับมันไป ที่อู่ซ่อมรถ ของพ่อของเขา ซึ่งซ่อนอยู่อีกที่หนึ่ง ของหมู่บ้าน. มันมีเครื่องมือ ดัด ตัด ต่อ กลึง เชื่อม ไว้เพรียบพร้อม. ผมถามเขาว่า เขาแน่ใจหรือ ที่จะเอารถใหม่ มาปู้ยี้ปู้ยำกับสงครามบ้าๆ นี่. เขาหัวเราะผม และบอกว่า เสร็จงานเมื่อไร่ เขาจะไปทวงเอาคืน กับพวกคนร้าย. ผมคิดว่า นัท เริ่มทำตัวเหมือนผม เข้าไปทุกขณะ. ดังนั้น นัทกับผม อาศัยอู่ซ่อมรถ ช่วยกันออกแบบ ซ่อนอาวุธไว้ในรถ เชื่อมต่อหน้ากาก ป้องกันกระสุน. พวกเราโหมทำงานกันทั้งวันทั้งคืน อย่างมุ่งมั่น, งานก้าวหน้าไป อย่างน่าพอใจ. เพราะได้ประสบการณ์วิชาช่างของนัท เท่าที่เขามี. ส่วน การวางแผนโจมตี นัทมอบให้เป็นหน้าที่ของผม ในฐานะเคยเป็นทหารผ่านศึก ดินแดนใต้มาแล้ว. เราตกลงกันว่า เราจะไม่ลากคนอื่น เข้ามาเกี่ยวด้วยเด็ดขาด. ผมกับนัท จะทำกันเพียงสองคน. เลือดบ้าของผม มันสูบฉีดได้ที่ แต่เลือดบ้าดีเดือด ของนัท มันสูงกว่าผมเสียอีก. สามวันผ่านไป ทุกอย่างพร้อม สำหรับการเผชิญหน้ากับข้าศึก. นัท ตรวจความพร้อม ของอาวุธประจำตัว ปืนกลที่ตัวรถ และการขับขี่ หลบหลีกสิ่งกีดขวาง กระโดดข้ามเนิน ฝ่าลำธารน้ำ และไต่ไปบนท่อนไม้. เขาทำได้ค่อนข้างดี. ส่วนผม ขับรถยนต์ที่ดัดแปลงมาจากรถเก๋ง ให้เป็นรถในสนามรบ. แน่นอนว่า ผมบรรจุเขี้ยวเล็บให้กับมัน แบบไม่ไว้หน้าศัตรู. เมื่อทุกอย่างลงตัว การนัดหมายตามแผน ก็เริ่มขึ้น. ผมกับนัท ควบรถประจำตัว ออกไปพร้อมๆ กัน ไปยังเป้าหมาย ที่เราสองคนรู้ดีว่า มันซ่อนอยู่ที่ไหน. แค่ชั่วอึดใจ เราก็ไปถึง เป็นเวลาใกล้ค่ำ. ผมส่องด้วยกล่องส่องทางไกล, เป้าหมายมันอยู่ที่นั่น. บ้านหลังนั้น ซ่อนอยู่ในป่า หลังสุสานร้างแห่งหนึ่ง. ผมกับนัท เอารถไปซ่อนไว้ ในพุ่มไม้หนา และตัดกิ่งไม้บังไว้อีกชั้นหนึ่ง, ทำสัญลักษณ์ให้สังเกตได้. เสร็จแล้ว วางกับระเบิดไว้ เป็นจุดๆ. ผมใช้กล้องส่องดูว่า บริเวณรั้วบ้าน มีกล้องวงจรปิด อยู่ตรงไหนบ้าง. พวกคนร้าย ติดตั้งกล้องวงจรปิด ที่รั้วบ้าน ทุกระยะสิบเมตร. ผมตำหนิคนพวกนี้ว่า เรื่องอื่น ฉลาด แต่เรื่อง รักษาความปลอดภัยนี่ ช่างโง่ซะจริง. ตั้งกล้องแบบประเจิดประเจ้อ ให้ผมจับได้. แต่มาคิดอีกที มันเป็นความฉลาดของผมต่างหาก. ก่อนแฝงตัวเข้าไปในบ้าน, ผมต้องกำจัด กล้องวงจรปิด ตัวใดตัวหนึ่งเสียก่อน. นัท ค่อยๆ คลานเข้าไป จนถึงกล้องตัวหนึ่ง เอาแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ที่ทำขึ้น พร้อมกับดิสก์ ที่บรรจุไฟล์วิดีโอ ต่อเข้ากับกล้องตัวหนึ่ง. ผมคิดว่ามันคงได้ผล พอหลอกพวกคนร้าย ได้สักระยะหนึ่ง. เมื่อข้ามพ้นเขตรั้วบ้าน เข้าไปข้างในได้แล้ว, แต่ยังไม่ถึงตัวบ้านดี. หมาสองตัว ได้กลิ่นพวกผมสองคน, เรื่องยุ่งจึงเกิดขึ้น. มันขู่ก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่ผม. แต่ผมแก้ปัญหานี้ได้ไม่ยาก ด้วยปืนเก็บเสียง กำจัดไอ้หมาปากเสีย ไปได้ทั้งสองตัว. จากนั้น รีบเข้าไปให้ถึงตัวบ้าน ก่อนที่พวกคนร้ายจะแห่กันมา. นัทกับผม ผลัดกันระวังหลัง รุกเข้าไปทีละขั้น. จนถึงผนังกำแพงบ้าน, ผมสังเกตจากช่องเล็กๆ เหนือพื้นดิน ที่ผนังบ้าน. มีคนจำนวนมาก ถูกขังในห้องใต้ดิน. แผนการจู่โจมตอนนี้ ต้องตัดกำลังข้าศึกโดยเร็ว ด้วยการวางกับระเบิดข้างนอกบ้านนี้เสียก่อน. ผมสั่งให้นัท วางกับระเบิด ที่ด้านหลังของห้องใต้ดิน หน่วงเวลาไว้ 3 นาที ส่วนผม รีบเคลื่อนไปที่ด้านหน้า แล้ววางระเบิด ที่ประตูหน้าของตัวบ้าน หน่วงเวลาไว้ 3 นาที เช่นกัน. ทั้งผมและนัท คาดหวังไว้ว่า เมื่อประตูเปิดออก ด้วยแรงระเบิด, คนที่ถูกขังข้างใน จะวิ่งกรูกันออกมา เพื่อสร้างความสับสน ให้กับพวกมัน. นอกจากเป็นการหักเหจุดสนใจ มายังผมกับนัทแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสทางรอด ให้คนที่ถูกขังอีกด้วย. ทุกอย่าง เป็นไปตามแผน, 3 นาที ให้หลัง เสียงระเบิด ดังสนั่นหวั่นไหว, ถัดมา เสียงปืนดังขึ้น จากทางทิศเหนือ. ผมพูดวิทยุ สั่งให้นัท รีบหนีออกมา ให้พ้นจากตัวบ้าน. เขาบอกว่า ยังเหลืออีกสามจุด ที่ยังไม่ได้วางระเบิด. ผมบอก ไม่ต้องแล้ว รีบหนีเอาตัวรอดก่อน. พวกมัน รุมสาดกระสุนใส่นัท. ผมสั่งให้นัท ซ่อนตัว ให้พ้นวิถีกระสุน รอผมอยู่ที่นั่น. ผมต้องรีบเข้าไปช่วยนัท ด้วยการประเคนกระสุน ที่มีทั้งหมด ส่งให้พวกมัน แบบไม่ยั้งมือ สนั่นลั่นป่า ชนิดที่เรียกว่า อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ต้องเรียกพี่ หรือไม่ก็ หน่วยคอมมานโด ต้องก้มหัวให้. นัท พยายามตะเกียกตะกาย หนีเอาตัวรอด กลับมาให้ผมเห็น. เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่นัท ให้ความมั่นแก่ผมว่า เขายังไหว ซึ่งผมจำเป็นต้องเชื่อตามนั้น. ในสถานการณ์คับขัน ผมตัดสินใจ ใช้แผนสอง. เมื่อรวบรวมกำลังพลที่เหลือ ซึ่งมีกันแค่สองคน หันหลังพิงกัน ยิงโต้พวกมันไปด้วย ล่าถอยไปด้วย. ระเบิดเริ่มทำงานเป็นจุดๆ จนบ้านพังพินาศไปซีกหนึ่ง ส่วนอีกซีกหนึ่ง ยังเหลืออยู่ เพราะยังไม่ทันได้วางระเบิด. ผมกับนัท ถอยร่นออกมา จนถึงที่ซ่อนรถ, ซึ่งเป็นระยะค่อนข้างปลอดภัย ทำให้พวกผม พอมีเวลาตั้งตัว. เพียงครึ่งนาที ผมสตาร์ทรถยนต์ นัทควบจักรยานยนต์ นำหน้าผมไป. พวกมันก็มีเขี้ยวเล็บ ไม่แพ้พวกผมเช่นกัน, รถของพวกคนร้าย วิ่งไล่จี้ตามหลังผมกับนัทมาติดๆ. แต่พวกมัน ยิงไม่ถนัดนัก เพราะค่อนข้างมืด กระสุนวิ่งเฉียดนัท ทางโน้นที ทางนี้ที ดูน่าหวาดเสียว. ผมวิทยุให้นัท เป็นตัวล่อ ส่วนผมเป็นตัวสอย. ผมรอจังหวะ ให้พวกมัน หลุดออกจากป่า เข้ามาใกล้ บริเวณขอบถนน ซึ่งทำให้ผมพอมองเห็นพวกมันบ้าง. เมื่อได้ระยะยิง ผมสาดกระสุนปืน ที่ติดตั้งไว้ในรถ, ปืนกลมันก็ทำงาน ตามประสาของมัน แต่ได้ผลเกินคาด. ผมชำเรืองดูนัท ตอนนี้, เขาได้กลายเป็นฮีโร่สำหรับผมไปแล้ว. นัทก็มีพิษสงไม่น้อย, ปืนกลที่ติดอยู่ข้างรถของเขา สามารถหยุดคนร้าย ที่ควบจักรยานยนต์ตามมา ตายเป็นใบไม้ร่วง.
เหตุการณ์ เริ่มสงบลง เหมือนมหาสงครามเพิ่งผ่านพ้นไป. พวกคนร้ายที่เหลือไม่กี่คน ก็ล่าถอยหายไปในความมืด. แสงไฟจากรถของผม และรถของนัท ที่ส่องเข้าหากัน พอจะมองเห็นได้บ้างว่า รถของผม มีรูพรุนไปทั้งคัน. สภาพรถของนัท ก็ค่อนข้างยับเยิน นัทตะโกนบอก ยังไปได้อยู่. ทันใดนั้น ผมได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ บินผ่านหัวผมไป นับได้สี่ลำ. ผมกับนัท ขับรถมตามเฮลิคอปเตอร์ไป จนถึงบริเวณโล่งๆ ซึ่งไม่ห่างจากบ้านหลังนั้น ซึ่งตอนนี้เหลือแต่ซาก. เฮลิคอปเตอร์ ทั้งสี่ลำ ค่อยๆ ร่อนลงจอด. ทหารกรูกันลงมาเต็มพื้นที่ พร้อมอาวุธครบมือ รุดเข้าล้อมซากบ้านหลังนั้นไว้. ส่วนผมสองคน ยังหลบซ่อนสังเกตการณ์อยู่ เพราะยังไม่รู้ว่าเป็นทหารของฝ่ายใด. เท่าที่สังเกต พอคาดเดาได้ว่า เป็นทหารของฝ่ายไทย. ผมรู้สึกโล่งใจ. โธ่! พวกเขา ช่างมากันเร็วซะเหลือเกิน. ทหารหน่วยจู่โจม จำนวน 20 นาย เข้าไปตรวจสอบ ในบ้านที่เกิดเหตุ. ภายในบ้าน พบห้องแล็บ ซึ่งเหลือแต่ซากหักพังของโต๊ะ เก้าอี้ เตียงคนไข้. ทหารจับกุมคนร้ายได้ จำนวนห้าคน ส่วนใหญ่บาดเจ็บ นอกนั้นถ้าไม่ตาย ก็หนีไปได้. เหยื่อเคราะห์ร้าย ที่ถูกจับขังในห้องใต้ดิน ส่วนใหญ่มีชีวิตรอด เพราะหนีออกไปได้ทัน ก่อนระเบิดจะทำงาน. ผมกับนัท จอดรถทิ้งไว้ ค่อยๆ เปิดเผยตัว แสงไฟจับจ้องมาที่ผมกับนัท. และถูกทหารสามนาย ควบคุมตัวพาไปพบกับ ผู้บัญชาการ. ผมเห็นเขาข้างหลัง ก็จำได้แล้ว ว่าเขาเป็นใคร. เขายืนเคียงคู่กับ ผู้หญิงในชุดทหาร เธอคือ ศินาท นั่นเอง. เธอทำตามแผนของเธอได้สำเร็จ แม้จะเสร็จหลังจากแผนของผม ก็ตาม. ศินาท เห็นผม เธอดีใจมาก เธอเล่าให้ผมฟังว่า เธอเป็นคน เอาจดหมาย ที่ผมเขียนฝากไว้ ไปแจ้งให้ ผู้พันกระจ่าง ทราบเรื่องทั้งหมด. เธอแนะนำผม ให้รู้จักกับ ผู้พันกระจ่าง. แต่ผู้พัน กลับเป็นฝ่าย ทักทายผมก่อน. ศินาท รู้สึกแปลกใจ. ผู้พันพูดกระเซ้ากับเธอว่า ผมนี่บ้าได้ที่เหมือนกัน. ไม่รู้ว่าท่านตำหนิหรือชมกันแน่. ผมเข้าใจความรู้สึกของท่านได้ดี ในตอนนี้ ในฐานะที่เคยเป็น ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านมาก่อน. ผู้พันกระจ่าง เข้ามาใกล้ผม แสดงความยินดี ที่ผมยังเอาชีวิตรอดมาได้เหมือนเคย. ท่านยังบอกอีกว่า นี่ถ้าไม่ใช่ฝีมือ ของจ่าเดี่ยว ระดับมหากาฬ คงจะไม่ทำได้เละเทะอย่างนี้หรอก. ผมบอกว่า ลำพังผมคนเดียว ทำสิ่งนี้ไม่ได้แน่ ถ้าไม่มีหนุ่มบ้าดีเดือด ชื่อ นัท. ผู้พันกระจ่าง รู้สึกพอใจมาก.
THE END
Copy writer :
Story Length :
Theme :
Log Line :
Genre :
miseenscene
จ.ส.อ.เดี่ยว คงกฤต หรือ จ่าเดี่ยว
นัทกร งามบุรี หรือ นัท
ศินาท
พันเอกกระจ่าง ยุทธนาวิน
แหล่งก่ออาชกรรมของพวกก่อการร้ายต่างชาติ อยู่บริเวณแนวชายแดน รอยต่อ จ.แม่ฮ่องสอน หรือ จ.เชียงราย
|
||||||||||
|