ภาคที่ 1 บทที่ 5 ภูติร้ายในป่ามรณะ ตอนที่ 18 หุบผาหมอก
คณะเดินทางท่องป่าทั้งแปดคน ผ่านมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง, ด้านซ้ายและขวา เป็นหินผาสูงเสียดฟ้า มองไม่เห็นตะวัน บรรยากาศบนทางเดิน ที่อยู่ด้านหลังและด้านหน้า มีทัศนวิสัยที่ไม่ดี มองเห็นได้ไม่ไกลนัก เหมือนมีหมอกควันปกคลุมอยู่. แต่ไม่ใช่หมอกควัน อากาศก็มีให้หายใจ ไม่อึดอัด แม้ว่ามันจะเย็นไปสักหน่อย. พวกเขาเดินทาง ท่ามกลางบรรยากาศมืดๆ สลัวมานาน, ไม่มีใครจะบอกได้เลยว่า นี่เป็นเวลากลางวัน หรือกลางคืน. โชคดี ที่มีสัตว์ป่าและผักป่า ชุกชุม, สามารถเก็บสะสม เป็นเสบียงได้เรื่อยๆ. แต่ความเหน็ดเหนื่อย มันเรียกร้องให้พวกเขา ต้องหยุดพัก แม้ว่าจะยังไม่มืด.
มาลา มองเห็นซอกเขาแห่งหนึ่ง อยู่ข้างทาง คล้ายทางเข้าถ้ำ, ข้างในเป็นโพลงลึกเข้าไป เขาหยุด และชี้ให้พวกเด็กๆ ดู. จาอู เห็นว่า น่าจะพักที่นี่กันก่อน, จึงสั่งให้ทุกคน จัดเตรียมที่พัก หาฟืน ก่อไฟ ทำอาหาร ทำเขตป้องกันสัตว์ร้าย.
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ ไม่มีวี่แววว่า จะมืดสนิท แต่กองไฟ ก็ถูกก่อขึ้น เพื่อขับไล่ความหนาว. ตลอดเวลาที่เดินทางมา, พวกเด็กๆ และพี่เลี้ยง รู้สึกอ่อนเพลียกว่าทุกวัน. พอมาเจอสภาพอากาศขมุกขมัว แบบนี้ พวกเขาอยากพัก ให้นานกว่าทุกครั้ง. จาอู สำรวจโพลงหินอย่างละเอียด เห็นว่าเหมาะที่สุด. เพราะเป็นโพลงตันทึบ มีทางเข้าทางเดียว ระวังภัยได้ง่าย. อาหารที่หาได้วันนี้ ก็มากพอ ที่จะหยุดพักได้นานเท่าที่พอใจ.
มาลา กับ ซู อาสาอยู่ยามช่วงแรก ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นยามแรกหรือไม่. เสียงสัตว์ป่า กับ ฟ้าแลบ ปรากฏขึ้นเป็นระยะ, แต่พวกเด็กๆ และพี่เลี้ยงที่เหลือ ยังคงหลับไหล. ความเงียบของป่า มักมีความชั่วร้ายซ่อนอยู่, มันค่อยๆ แอบแฝงคืบคลานเข้ามา. ทุกคนนอนหลับสนิท ฝากความปลอดภัย ไว้แก่ผู้อยู่เวรยาม. แต่ที่นี่ มันไม่เหมือนกับที่อื่นๆ ที่พวกเขาเคยผ่านมา.
เมื่อความเงียบ กับความอ่อนเพลีย มันสามัคคีกัน, มาลา และ ซู ก็เผลอหลับไป ปล่อยให้อสรพิษร้าย รูปร่างประหลาด คืบคลานเข้ามา. ลำตัวของมันกลมรี ขนาดเท่าลำตัวคน ยาวราวสามช่วงตัวคนต่อกัน มีเกล็ดสีน้ำเงินเรืองแสง หัวและขาเหมือนตะขาบยักษ์. มันคือตะขาบยักษ์ดีๆ นั่นเอง เพียงแต่ว่า ขาคู่หน้าและคู่หลัง ยาวกว่าทุกขา. มันเลื้อยคลาน ข้ามเชือกกั้นระวังภัย ที่มาลาทำไว้ ตอนก่อนนอน. ไร้สัญญาณเตือนภัย ไร้การเฝ้าระวัง, มันค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ พร้อมที่จะมอบความตาย ด้วยพิษร้าย ให้แก่ใครบางคนในโพลงหินนี่. ซึ่งไม่อาจคาดเดาได้ว่า มันซ่อนพิษอะไรไว้ที่ตรงไหน.
จังหวะที่ สังข์ กำลังพลิกตัว รู้สึกมีสิ่งผิดปกติ คืบคลานเข้ามา. เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น.
สังข์ เอื้อย บันตู อยู่ซีกซ้าย, ซู อัง และ โสนน้อย อยู่ซีกขวา เอาหลังพิงผนังโพลงถ้ำ เตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับมัน. โชคดี ที่ยังมีแสงไฟ ให้มองเห็นมันได้ถนัด. มาลา กับ จาอู อยู่ด้านหลังของเจ้าสัตว์ร้าย. มันตกอยู่ภายใต้วงล้อม. แต่ดูเหมือนว่า มันเองก็มั่นใจ ในพิษของมันเช่นกัน. หางของมันตะวัดใส่ศัตรู. จาอู หลบทัน แต่พลาด ไปโดนเสาสำหรับผูกเชือกระวังภัย จนหักขาดไป. ตอนนี้เขตระวังภัย ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว.
จาอู พุ่งหอกใส่ที่บริเวณหาง. มันส่งเสียงร้อง เบนหัวเข้าหา จาอู. จังหวะนั้น สังข์ ปล่อยลูกดอกจากหน้าไม้ เสียบที่บริเวณลำตัว, ขณะที่เอื้อย เหวี่ยงมีดพกเข้าใส่ตรงซอกขา. มันตวัดหางไปโดน สังข์ จนกระเด็นออกไป ถึงด้านหน้าหลืบถ้ำ ลำตัวกระแทกกับโคนต้นไม้ใหญ่. จาอูได้จังหวะ คว้ามีด กระโดดเข้าใส่ แทงบริเวณแผลเก่า ที่เคยโดนหอก. มันร้องเสียงดังขึ้น เหมือนหมูถูกน้ำร้อนลวก เอี้ยวตัวเข้าหา จาอู อีกครั้ง, พร้อมกับตวัดหาง ไปโดนกองไฟ. ถ่านไฟกระเด็นไปถูก สังข์ ซึ่งยังนอนเจ็บอยู่. โสนน้อย ถลาจะเข้าไปฉุดให้ สังข์ ลุกขึ้น, แต่ช้าไป. สัตว์ร้ายกระโดดคร่อมร่างของเขาไว้.
ยามฉุกเฉินเช่นนี้, สังข์ นึกถึงคำสอนของเคน ตั้งสติ และใช้เวทกล. สังข์ คว้าท่อนฟืนที่ โสนน้อย โยนส่งไปให้ ยันสวนไปที่บริเวณใบหน้าของมัน จนไม่สามารถฝังคมเขี้ยวไปที่เหยื่อ ได้ถนัด. เสี้ยวเวลาความเป็นความตาย, สายตาของ สังข์ มองเห็นมีดพกของตัวเอง กับซองหนังที่ใส่วัตถุนำทาง หล่นอยู่ไม่ไกล. ซู ก็เห็นเช่นกัน แต่กลับเป็นฝ่ายตกตะลึง เหมือนถูกมนต์สะกด ให้เขายืนอยู่นิ่งกับที่ สายตาสอดส่าย หาของบางอย่าง มากกว่าที่จะสนใจ เจ้าสัตว์ประหลาดนั่น.
ซู ได้สติ กระโดดคว้ามีดพกของสังข์ ที่หล่นตรงพื้นถ้ำ ยืนลังเลเหมือนถูกสะกดจิต. เขาสนใจ สิ่งที่อยู่ในซองนั่น มันอยู่ใกล้แค่เอื้อม.
สติของ ซู กลับคืนมาอีกครั้ง, กำมีดไว้ในมือแน่น กระโดดเข้าใส่สัตว์ร้าย ปลายมีดทิ่มเข้าที่ซอกคอ. แต่แรงมันมีมากกว่า จึงสะบัด ซูหลุดกระเด็นไป. สัตว์ร้ายเห็นว่า เหยื่อของมันไม่ใช่หมูหรือแมลง จึงตะเกียกตะกายล่าถอยไป แต่ก็ไปได้ไม่ไกล มันก็หมดฤทธิ์ สงบแน่นิ่ง ไม่ไหวติง. หลังสำรวจร่างกาย โชคดีที่รากของท่อนซุงนี่ มันผุ ไม่อย่างนั้นคงซี่โครงหักเป็นแน่. สังข์ พยุงตัวลุกขึ้น เดินไปเอามีด ที่ยังปักคาอยู่ที่ซอกคอของมัน. ซู เดินไปหยิบกระเป๋าหนังสีดำ ค่อยๆ หยิบสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมาดู ... พลัน! แววตาของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ม่านตาเปิดกว้าง เปลี่ยนสีจากดำ เป็นสีแดงอมเหลือง.
มโนภาพ ศีรษะหินแกะสลัก รูปใบหน้าคนป่า ผ่านวูบเข้ามาในสมองของ ซู ตอนที่จมลงไปในกระแสน้ำวน พร้อมกับเสียง เจ้าจงเอาสิ่งนั้นมาให้ข้า เสียงนั้น มีอำนาจ สะกดซูให้ทำตามที่มันต้องการ.
ม่านตาสีแดงอมเหลืองของ ซู เริ่มกลับคืนปกติ. เขาถอนหายใจ พร้อมกับยื่นวัตถุนำทาง ส่งให้เจ้าของ. สังข์ รีบคว้ามันมา เก็บไว้ในซองหนังเหมือนเดิม. สังข์ เริ่มไม่ไว้ใจ ซู. เอื้อย โสนน้อย สบตากัน เข้าใจสถานการณ์นี้ดี. การต่อสู้ยกนี้ ผ่านไป ด้วยความหวาดเสียว กว่าทุกครั้ง สร้างความเหน็ดเหนื่อยให้ไม่น้อย เพราะถูกโจมตีจากศัตรู โดยไม่รู้ตัวมาก่อน และ คงใช้เวลาอีกสักหน่อย กว่าทุกคนจะหายตื่นตระหนก.
กองไฟ ถูกก่อขึ้นใหม่อีกครั้ง, เพื่อให้พวกเด็กๆ นอนต่อ. การพักผ่อนคราวนี้ ไม่เหมือนครั้งก่อน, พวกเด็กๆ นอนหลับไม่สนิทนัก จาอู กับ บันตู อยู่เวรยาม ซู หลับก่อนเพื่อน.
ขณะนั่งเวรยาม ด้านหลังของ จาอู ห่างออกไป เป็นผนังถ้ำทึบ. มีเงาของสมาชิกคนหนึ่ง ปรากฏที่ผนัง ค่อยๆ คลานไป เพื่อหยิบเอาของบางอย่าง ของคนที่นอนอยู่. แต่เงานั่นทำไม่สำเร็จ เมื่อเสียงหนึ่งดังแว่วๆ มาจากด้านนอก.
จาอู ที่กำลังนั่งสัปหงกอยู่ ก็สะดุ้งตื่น, มองหาตำแหน่งของแหล่งเสียง. เสียงนั่น อยู่ด้านนอก ตรงข้ามกับทางเข้าที่พัก. จาอู ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น อย่างเงียบๆ ปล่อยให้ บันตู นั่งหลับไปก่อน และไม่อยากรบกวนเพื่อน. เขาเดินออกไปที่ปากโพลงถ้ำ เพื่อหาว่า เสียงเรียกชื่อของเขา มาจากทิศใหนกันแน่. จาอู ... จาอู มันอยู่ใกล้ๆ นี่เอง. สักครู่ เขาก็ได้ยิน เสียงคนเหยียบกิ่งไม้ ... เป๊าะ! เสียงนั่น ปลุกให้ บันตู ลืมตาตื่นขึ้น มองตามหลังจาอูไป.
ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของ จาอู สร้างความประหลาดใจ ให้กับเขาเป็นอันมาก. เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ไม่เสียแรง ไม่เสียเวลาเปล่า ในที่สุดเขาก็เจอ.
ร่างหญิงชาวป่า หน้าตาดี เมียของจาอูนั่นเอง มายืนเรียก ผู้เป็นสามี. เธอยืนอยู่ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ ที่อยู่ห่างออกไป. ด้วยความดีใจ, จาอู รีบเดินเข้าไปหา ... ขณะที่ เขาเผลอก้มมองทางเดินที่มืดๆ ร่างของเมียรัก ก็หายไป ตอนเธอเดินผ่าน ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง. จาอู เดินตามไปอีก. บันตู ไม่ไว้ใจในสถานการณ์แปลกๆ แบบนี้, เกรงว่าอาจเกิดอันตรายกับ จาอู.
บันตู เรียก แต่เขาไม่ได้ยิน. จาอู ยังคงเดินห่างออกไป. บันตู สะกดรอยตามไป แต่เดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง. เขารู้สึกประหลาดใจ ที่เห็น จาอู เรียกชื่อเมียของเขา ทั้งๆ ที่ข้างหน้าเขา ไม่เห็นมีใคร หรือมีอะไร. สำหรับ จาอู แล้ว เขากลับรู้สึกแปลกใจ, ทำไม ซาเจะ เมียของเขา จึงเดินถอยห่างออกไป. ขนทุกเส้นบนหัว ลำตัว ของ บันตู พร้อมใจกัน ลุกชูตั้งขึ้น, ปากคอสั่นสะท้าน ด้วยความกลัว เมื่อเขาเห็นเสือดำตัวใหญ่ กำลังแอบซุ่มอยู่. สายตาของมัน กำลังจับจ้องไปที่เหยื่อ หางเริ่มส่ายไปมา. จาอู กำลังเดินเข้าไปหาเสือดำ โดยไม่รู้ตัว.
จาอู หันไปมองตามเสียงนั่น, เห็นเมียรัก วิ่งผ่านต้นไม้ใหญ่ไปอีกด้าน. พอโพล่จากต้นไม้ใหญ่ มันกลายเป็นเสือดำตัวใหญ่ ในทันที. เสี้ยวนาที ของความเป็นความตาย สติของ จาอู กลับเข้าร่าง. เขาตกใจสุดขีด ที่ต้องเผชิญหน้ากับอสูรร้าย กำลังตะครุบเหยื่อ จาอู เข้าใจว่า ซาเจะ เมียของเขา ถูกเสือขย้ำเสียแล้ว.
จาอู เห็นดังนั้น คิดอะไรไม่ออก คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสัญชาตญาณ การเอาตัวรอด, เท้ามันเร็วกว่าความคิดเสียอีก. มารู้ตัวอีกที ก็กลับไปถึงปากโพลงถ้ำแล้ว, ทิ้งปริศนาสัตว์ร้ายไว้ข้างหลัง. เขามีเวลาทบทวน เมื่อสติสัมปชัญญะ มาบรรจบกัน ครบถ้วนสมบูรณ์. จาอู ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมา เหมือนเด็ก ปลุกให้ทุกคนตื่นขึ้น ลุกมาฟังเสียงร่ำให้ของเขา สลับกับเรื่องราว ที่เพิ่งเกิดขึ้น. จาอู ต้องมาสูญเสียเมียรักไป และเสียเพื่อนร่วมทางไปอีกคน.
ความโศกเศร้าครั้งนี้ หนักหนามากกว่าทุกคราว. ทุกคนยอมเสียเวลา นั่งปลอบใจ จาอู อยู่พักใหญ่ จนรู้สึกว่า เขาคลายใจลงไปบ้าง. โสนน้อย เริ่มรู้สึกท้อแท้ และเป็นกังวล จึงถามความสมัครใจของเขา.
จาอู ยังไม่ตอบ, ความเศร้าโศกยังรุมเร้าเขาอยู่ พาให้ความสำนึกต่อภารกิจ พลอยหลับใหลไปด้วย. นั่นส่งผลไม่ดีต่อเพื่อนๆ ของเขาด้วยอย่างมาก. พวกเขาเป็นเพื่อนรักกัน เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาด้วยกัน, อัง ซู และ มาลา ยังเชื่อมั่น ในฝีมือและความสามารถของ จาอู อยู่ ไม่กล้าที่จะตัดสินใจอะไรลงไป ...
บรรยากาศเงียบๆ มันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน, สังข์ มองหน้าพวกพี่เลี้ยง กึ่งอ้อนวอน กึ่งขอร้อง. อัง มาลา ส่ายหัว ซู ก็ยังไม่ตัดสินใจ. จาอู คือกุญแจสำคัญ.
จาอู ก้มหน้านิ่ง ครุ่นคิด ชั่งน้ำหนักระหว่าง การถูกสถานการณ์บังคับให้เลิกล้มภาระกิจ กับ ความสำนึกในคำมั่นสัญญา ที่ให้ไว้กับเคน. เอื้อย โสนน้อย นั่งลงข้างๆ จาอู อย่างช้าๆ.
และแล้ว ความสำนึกก็ชนะความกลัว ... จาอู ถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมองเด็กๆ รวบรวมสมาธิอีกครั้ง เรียกเอาความกล้าหาญกลับคืนมา. เมียรักก็ตายไปแล้ว ภารกิจของเขา จบลงแล้วข้อหนึ่ง. ถ้าเขากลับบ้านตอนนี้ ไปพบเคน ถ้าเคนถามถึงเด็ก เขาจะตอบเคนอย่างไร. เคน เป็นผู้มีบุญคุณกับเขามาก เคยช่วยเหลือเขาทุกอย่าง. ถ้าเขาไม่ทำตามที่เคนขอร้อง ก็เท่ากับเขาเป็นฝ่ายผิดสัญญา. วิถีชีวิตคนป่า คำมั่นสัญญา สำคัญยิ่งกว่าชีวิต. คนที่ผิดสัญญา ก็คือคนไม่มีสัจจะ ผีป่าจะไม่ให้อภัย.
จาอู มองหน้าพวกเด็กๆ อีกครั้ง แล้วพยักหน้า. เพียงเท่านี้ บรรยากาศซึมเศร้า ก็ถูกขับไล่ออกไป. สังข์ เอื้อย และ โสนน้อย ยิ้มออกมา. ซู ก็มีท่าทางมั่นใจขึ้นด้วยอีกคน.
...
คณะเดินทางที่เหลือ เด็ก 3 คน กับพี่เลี้ยง 4 คน เดินทางต่อไปได้ไม่นาน ก็พ้นเขตหุบผาหมอก. ท้องฟ้ามืดครึ้มขึ้นมาทันที ไม่นาน พายุฝนฟ้าคะนองก็ตามมา. การผจญภัยคราวนี้ เป็นช่วงที่ลำบากที่สุด ของพวกเด็กๆ ... ดูเหมือนว่า พายุฝน ฟ้าคะนอง จะไม่หยุดลงง่ายๆ. เหตุการณ์ร้ายๆ แทบเอาชีวิตไม่รอด ก็ผ่านมาแล้ว กลายเป็นภูมิต้านทานอย่างดี, ทำให้พวกเขาสู้ทน ยอมฝ่าลมหนาวต่อไปได้เรื่อยๆ.
คณะเดินทางฝ่าสายฝน และลมหนาว หวังว่า เดินต่อไปเรื่อยๆ อาจจะได้ที่พักที่ไหนสักแห่ง. แสงจากฟ้าแลบ มองเห็น แนวต้นไม้ใหญ่ข้างทางเดิน การเดินทางฝ่าสายฝน เป็นไปด้วยความล่าช้า.
จาอู พาพวกเด็กๆ เข้าพักที่ใต้ตอไม้ใหญ่ชั่วคราว หลบฝนที่กำลังตกหนักมาได้พักใหญ่. เขาสงสารพวกเด็กๆ มาก ที่ต้องมาเผชิญกับความหนาวเย็นแบบนี้. โสนน้อย ตัวสั่นด้วยความหนาว จนสุดจะทนได้, เธอพูดเอ่ยกับเพื่อน อย่างหมดหวัง.
นี่อาจเป็นบททดสอบบทแรก ที่ธรรมชาติส่งมา เพื่อพิสูจน์ความอดทน ความมุ่งมั่น ความตั้งใจจริง ของเด็กทั้งสามคน. จะว่าไปแล้ว ถือว่ายากสำหรับเด็กทั่้วไป พวกเขาอาจสอบไม่ผ่าน เอาชีวิตมาทิ้งเสียในป่า. สักครู่ ฝนก็เริ่มซาลง แต่ประกายไฟจากฟ้าแลบ ยังมีอยู่เป็นระยะ. มาลา สะกิดแขน จาอู แล้วชี้ไปข้างหน้า. พวกเขาเริ่มมองเห็นทางรอดแล้ว, ถ้าสังเกตให้ดี ข้างหน้าอีกไม่ไกล มีบ้านหลังหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ ท่ามกลางความมืดสลัว. ทั้ง 7 ชีวิต พยายามเคลื่อนย้ายสังขาร พาตัวเองไปให้ถึง. เมื่อเข้าไปใกล้ๆ มันเหมือนปราสาทโบราณ ยืนทะมึนอยู่บนเนินเตี้ยๆ. จาอู พาพวกเด็กๆ ฝ่าเม็ดฝนที่เริ่มซาลงทุกขณะ ตรงไปยังปราสาทลึกลับนั่น.
มันเป็นอาคารตึกเก่าสามชั้น ที่ดูเหมือนร้าง ว่างเปล่า ไม่มีเจ้าของ หรือไม่ก็ เจ้าของอาจตายไปแล้ว. แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่างเถอะ, ตอนนี้ พวกเขาต้องการที่หลบฝนก่อน เป็นลำดับแรก. ทุกคนรีบย้ายตัวเอง และสัมภาระ เข้าไปที่บริเวณระเบียง ตรงหน้าประตูทางเข้า. จาอู เคาะประตูทั้งๆ ที่มืดๆ.
มาลา ค่อยๆ เอามือผลักบานประตู เอี๊ยด ... แอ่ด ๆ! เปิดเข้าไปได้ไม่ยาก. เหมือนบ้านหลังนี้ กำลังเชื้อเชิญแขกอย่างสุภาพ. ในยามคับขันเช่นนี้ จะเป็นบ้านใครก็ช่างเถอะ ถ้ามีเจ้าของ ก็จะขอพักสักหนึ่งคืน. แต่วิเคราะห์แล้ว สภาพบ้านแบบนี้ เจ้าของคงไม่อยู่แล้วละ. มาลา จาอู และ ซู พาเด็กๆ เข้าไปข้างใน. นับว่าโชคดีสำหรับเด็กๆ ที่บังเอิญมีที่พักค้างแรม อย่างไม่คาดฝัน. หวังว่า ในโชคดีนี้ คงจะไม่มีโชคร้าย ตามมา.
สารบัญ / ตอนที่ ปฐมบท -
บทที่ 2 สังข์ เอื้อย โสนน้อย
บทที่ 3 วันสังหาร
บทที่ 4 ชีวิตใหม่กลางภูผา
บทที่ 5 ภูติร้ายในป่ามรณะ
บทที่ 6 ประตูเวลาที่เรือนปีศาจ
บทที่ 7 หนอนทะเลทราย
บทที่ 8 หลุมดำดูดเวลา และการตามล่าของมนุษย์นอกจักรวาล
บทที่ 9 พบเพื่อนใหม่
บทที่ 10 ผจญภัยกลางมหาสมุทร
บทที่ 11 ปาฏิหาริย์ของเทพแห่งลิง
ภาคที่ 2: ฝ่าอุปสรรค เพื่อรักและอิสรภาพ
บทที่ 13 เทคโนโลยีล่องหน
บทที่ 14 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 1)
บทที่ 15 เส้นทางที่พลัดพราก
บทที่ 16 เมืองกาญจนา
บทที่ 17 บ้านของย่าทอง
บทที่ 18 วัยรุ่น วัยรัก วัยเรียน
บทที่ 19 ความรัก ความหวัง ยังไม่สิ้น
บทที่ 20 ตามหาเพื่อน
บทที่ 21 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 2)
ภาคที่ 3: รักนิรันดร์ ฝันเป็นจริง
บทที่ 23 นครรัฐเทพนารา
บทที่ 24 ชีวิตใหม่ ใจกลางมหานคร
บทที่ 25 ชีวิตจัดสรร ณ สันติอรุณ
บทที่ 26 สัมผัสแรก สัมผัสรัก
บทที่ 27 สังข์ทอง รจนา
บทที่ 28 วิกฤตของนครรัฐ
บทที่ 29 กู้วิกฤต
บทที่ 30 ฝันที่เป็นจริง
ปัจฉิมบท -
เพลง ฝ่าอุปสรรค ตามหารักนิรันดร์
|
|
|