ภาคที่ 1 บทที่ 10 ผจญภัยกลางมหาสมุทร ตอนที่ 33 เกาะร้าง
โดว์ ดาบแห่งท้องทะเล แล่นฉิวด้วยกำลังลม สุดแล้วแต่ลมจะพาไป สุดแล้วแต่โชคชะตาจะกำหนด ไม่มีเป้าหมาย, หวังไว้อย่างเดียวว่า คงต้องถึงฝั่ง สักที่แหละน่า. สุดสาคร เอื้อย และ โสนน้อย ช่วยกันดูแลใบเรือ ให้รับลมมากที่สุด. สินสมุทร ยืนบังคับเรืออยู่ข้างหน้า เคียงคู่กับ สังข์ ซึ่งกำลังส่องกล้องทางไกล. ต่อจากนี้ เด็กๆ ต้องเผชิญโชค อุปสรรค ด้วยตัวเอง ไม่มีพี่เลี้ยง ไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล. ตาเฒ่าทะเล คงมองการณ์ไกลว่า การเดินทางในท้องทะเล สิ่งสำคัญที่สุดคือ อาหารและน้ำจืด. เขาจึงมอบเครื่องมือหาเนื้อหาปลา ให้สุดสาคร เก็บไว้ใช้. หวังไว้เพียงอย่างเดียวว่า เด็กๆ จะไม่ท้อแท้ไปเสียก่อน. อุปสรรค สร้างความแข็งแกร่ง.
สินสมุทร เอาแผนที่ขึ้นมาดู พิจารณาอยู่นาน ก็ยังไม่ได้คำตอบ.
บ่ายแก่ๆ เรือแล่นไปด้วยกำลังลม ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที. สักครู่ ก็ไปสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งดัง ครึ่ก!ๆ แล้วก็หยุดกึกอยู่กับที่. พวกเด็กๆ พากันเดินไปสำรวจดูรอบๆ ก้มลงดูที่ข้างเรือ.
สินสมุทร สรุปตามประสบการณ์ แล้วลงไปดูข้างล่าง โอ๊ะโอ! เรื่องใหญ่แล้ว! .
โสนน้อย ยังพอไว้วางใจได้บ้าง เรือของพวกเขา จะยังอยู่ตรงนี้ ไม่ลอยตามกระแสน้ำไปที่ไหน. ก็คงต้องปฏิบัติตามต้นหนเรือสั่งไปก่อน วันหลัง ค่อยกลับมากู้คืน. พวกเด็กๆ พากันขนของที่จำเป็น ขึ้นเรือเล็กที่อยู่ท้ายเรือสำเภา. สินสมุทร หย่อนสมอเรือ ลงที่บริเวณหินโสโครก แล้วค่อยๆ หย่อนเชือก เอาเรือเล็กลงทะเล. โชคดีที่วัึนนี้ คลื่นลมสงบ, ทำให้พวกเขา พากันพายเรือเล็กเข้าหาฝั่ง ได้โดยไม่ยาก. ทิ้งเรือสำเภายนต์ของพวกเขา ให้มันจมอยู่ในน้ำอย่างนั้นไปก่อน.
แค่อึีดใจเดียว ก็ขึ้นฝั่งที่มีหาดทรายขาว สะอาดตา, ด้านนี้ของเกาะ ดูสวยงามไม่น้อย. พวกเขาลากเรือให้เกยตื้น ขนสัมภาระขึ้นฝั่ง เสร็จแล้ว ช่วยกันลากเรือขึ้นมาไว้บนบก กันน้ำทะเลซัดพัดพาไปตามกระแสน้ำ. มันเป็นอุปกรณ์เดินเรือชิ้นสุดท้าย ที่พวกเขาจะพึ่งพามันได้ พวกเขาจะต้องดูแลรักษามัน เป็นอย่างดี. สินสมุทร มองผ่านเรือเล็ก ไปที่เรือสำเภาอัปปางกลางทะเล, คงอีกไม่นาน ถ้าจัดเตรียมที่พักเรียบร้อยเมื่อไร เรือเล็กนี่ จะช่วยให้พวกเขา กลับไปกู้เรือสำเภายนต์อีกก็ได้.
ก่อนค่ำ พวกเด็กๆ ต้องพึ่งพาตัวเอง ไม่มีผู้ใหญ่มาคอยปกป้องคุ้มภัยให้. นี่เป็นบทเรียนอีกบทหนึ่ง ที่พวกเขาจะต้องเรียนรู้ และต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน บนเกาะนี้. พวกเขาผ่านอะไรมา ก็มากมายพอตัว, โดยเฉพาะ เอื้อย โสนน้อย และ สังข์ เปรียบเสมือนนักเรียนรุ่นพี่ ส่วนสองพี่น้อง แม้ว่าจะเป็นนักเผชิญภัยรุ่นน้อง แต่ใจกล้าเด็ดเดี่ยว พอๆ กัน. สามคน ผ่านสนามสงครามปีศาจ ภูติ สัตว์ร้าย หนอนทะเลทราย อีกสองคน มีประสบการณ์เกี่ยวกับทะเล มาไม่น้อย. ต่อไป บนเกาะนี้ อาจจะมีบททดสอบ ความแข็งแกร่งของพวกเขา อีกหลายบท, โจทย์ยิ่งยาก พวกเขาก็ยิ่งแกร่งขึ้น ฉลาดขึ้น. ความรัก ความห่วงใย ความเสียสละ ความสามัคคี และความกตัญญู จะเป็นภูมิคุ้มกันชีวิตของพวกเขา ได้เป็นอย่างดี สำหรับการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ให้รอดพ้นไปได้.
ผักป่าและผลไม้บนเกาะนี้ ก็ไม่เลว มีกล้วยสุกให้เก็บกินอย่างเหลือเฟือ. นั่น! บ่อน้ำข้างหน้านั่น คงเป็นน้ำจืด, ใช่แล้ว! น้ำจืดจริงๆ ด้วย. สังข์ กับ สินสมุทร เร่งตักน้ำใส่กระบอกไม้. พวกเขารู้สึกว่า มีสิ่งเคลื่อนไหว อยู่ไม่ห่างจากพวกเขา, ในป่าแบบนี้ มันจะเป็นสิ่งอื่นไปไม่ได้ นอกจากสัตว์ป่า.
ฝูงลิงป่านั่นเอง. และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ทั้งสอง รู้สึกเบาใจไปได้มาก เกี่ยวกับอันตรายจากสัุตว์ป่าที่ดุร้าย.
สังข์ หิ้วเครือกล้วยสุก กับ ซากงูตัวใหญ่ตัวหนึ่ง, สินสมุทร หิ้วผักป่า กับทะลายมะพร้าว. พากันออกจากแนวป่า เดินตรงมาที่เนินทราย บริเวณที่พัก. ทันทีที่มาถึง ก็เห็นกองไฟ ก่อไว้เรียบร้อยแล้ว. เอื้อย กับ โสนน้อย กำลังเอาผ้าออกผึ่งลมทะเล. สุดสาคร อุ้มท่อนไม้ผุ มากองสุมไว้เป็นฟืน. มื้อแรก สังข์ อาสาจัดเมนูงูย่างอย่างง่ายๆ สุดสาคร ก็คงจะใช้เมนูเดิมของเขา ที่หาวัตถุดิบ ได้ง่ายที่สุด ... ไม่นาน ทุกคนนั่งลง ล้อมรอบกองไฟ กินอาหารค่ำกัน. นี่คือ อาหารมื้อที่อร่อยที่สุด และเป็นมื้อแรก ที่นั่งกินกันอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องระวังภัยอะไรมาก.
สังข์ ถามกระเซ้าเล่น ขณะมองไปที่หมึกตัวใหญ่ที่เสียบไม้ปิ้ง และปลาทะเลย่าง อีกสองสามตัว กลิ่นหอมฉุย.
เอื้อย กระเซ้า สุดสาคร แกล้งทำเป็นตัวงอ ล้มกลิ้งไปบนพื้น ร้องอ๊าก! แลบลิ้นปลิ้นตา เหมือนมีสัตว์ประหลาด กำลังพุ่งแหวะออกมาจากท้อง. พวกเด็กๆ พากันหัวเราะ ลืมการผจญภัยกับหมึกยักษ์ เมื่อวานนี้ไปชั่วขณะ.
...
รุ่งเช้า หลังอาหารเช้า พวกเด็กๆ พากันเดินสำรวจเกาะ. มันเป็นเกาะที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ด้านหน้าเป็นหาดทรายสีขาว ส่วนด้านหลังเป็นโขดหินเสียมากกว่า. ที่จริง ไม่น่าจะเป็นการสำรวจเกาะ แต่เป็นการเดิน เพื่อผ่อนคลายมากกว่า. เดินกันไป หยอกล้อกันไป. ไม่นาน พวกเขาเดินวนกลับมาที่เดิม ก็เกือบเที่ยงวันพอดี.
พักกินอาหารแล้ว ยังพอมีเวลาสำรวจภายในตัวเกาะกันต่อ. ทั้งหมด พากันเดินลึกเข้าไปในเกาะ. ข้างใน เต็มไปด้วยเนินโขดหิน สูงต่ำลดหลั่นกันไป ต้นไม้ก็ไม่ใหญ่นัก. มีน้ำตกอยู่ที่หนึ่ง สวยงามมาก จนพวกเด็กๆ อดใจไม่ไหว ผลัดกันลงเล่นน้ำกัน. เกือบเดือนแล้ว ที่พวกเขาไม่เคยเจอน้ำจืดสะอาดๆ แบบนี้เลย.
บ่ายจัดๆ เดินไปอีกหน่อย ก็พบถ้ำอยู่ที่หนึ่ง, ปากทางเข้าถ้ำดูกว้างขวาง ขนาดขบวนรถไฟลอดผ่านได้. สังข์ อาสาเข้าไปสำรวจข้างใน เอื้อย และ โสนน้อย ขอตามไปด้วย. สินสมุทร กับ สุดสาคร รออยู่ที่ปากถ้ำ, เผื่อว่า ถ้ามีเหตุร้าย จะได้ช่วยกันได้ทัน.
ข้างในถ้ำ, สังข์ ถือคบไฟนำหน้า โสนน้อย เอื้อย เดินตามหลัง. ผ่านช่องทางเดินแคบๆ สักครู่ ก็พบอุโมงค์ถ้ำขนาดใหญ่มหึมา. ข้างบนเป็นช่องโหว่ทางยาว สามารถหย่อนลูกของไดโนเสาร์ ผ่านเข้ามาได้สบายๆ. แสงอาทิตย์ ส่องตรงลงมายังพื้นและผนังถ้ำ สังข์ สอดส่ายสายตา และสังเกตไปรอบๆ.
สุดผนังถ้ำข้างหน้า มีช่องมืดกลมๆ อยู่ช่องหนึ่ง, ข้างหน้าช่องมืด น่าจะเป็นหลุมหรือโพลงอะไรสักอย่าง. ส่วนด้านขวา ที่ติดกับหลุม มีเนินหินนูนขึ้นมา เหมือนหลังเต่ายักษ์เกยผนัง. สังข์ โสนน้อย และ เอื้อย เดินเข้าไปให้ใกล้อีกนิด. พวกเขาปืนขึ้นไปบนเนินหินนูน รูปหลังเต่า ที่เอียงกระเท่เร่. ที่นี่ก็เหมือนอุโมงค์ถ้ำทั่วไปนั่นแหละ มีหินงอก หินย้อย มีแอ่งน้ำ และอาจเป็นที่อยู่ของค้างคาว หรือไม่ก็สัตว์จำพวกงู. สังข์ รู้สึกว่า ที่นี่อาจมีสิ่งลึกลับซ่อนอยู่, มีเสียงดัง ตี๊ดๆ ไม่รู้ว่ามันดังมาจากที่ไหน เสียงมันเบามาก. ในถ้ำ มีสิ่งอื่นที่น่าสนใจ และน่าสำรวจอีกเยอะ จึงชวน เอื้อย กับ โสนน้อย อยู่ต่อ.
สังข์ ยื่นหน้ามองลงไป ที่โพลงข้างล่าง, ที่จริง น่าจะเรียกว่าร่องเหวมากกว่า เพราะมันมีลักษณะเป็นร่องลึก ยาวไปจนสุดผนังถ้ำอีกด้านหนึ่ง. เหนือปากร่องเหว มีพื้นที่เป็นทางเดินแคบๆ และอยู่ติดกับผนังถ้ำ ถัดไปก็เป็นโพลงหรือช่องมืดๆ มีขนาดไม่ใหญ่นัก. ร่องเหว มีขนาดใหญ่พอ อาจทำให้ช้างทั้งตัวหล่นลงไปได้.
ถัดจากช่องมืด ไปทางซ้าย อีกสี่ห้าก้าว บริเวณใกล้ปากร่องเหว มีแสงสะท้อนวับวาว ประกายสดใส ส่องออกมาจากที่นั่น. คล้ายกับมีคนเอากระจกเงา ไปวางไว้. ถ้าสังเกตดูดีๆ คล้ายมีวัตถุบางอย่างวางอยู่ แต่ไกลเกินกว่า จะมองเห็นรายละเอียด. มันอาจเป็นเครื่องหมายอะไรสักอย่างก็ได้ หรือไม่ก็ เป็นเครื่องประดับอัญมณีมีค่า หรือไม่ก็เป็นอาวุธ ที่มีคนทำหล่นไว้.
สังข์ คาดคะเนด้วยสายตา, ถ้าไต่ลงไป จากเนินหินหลังเต่ายักษ์นี่ แล้วค่อยๆ เดินเลาะริมร่องเหวไป จนสุดผนังถ้ำ แล้วหยิบเอามา ก็ไม่เห็นจะยาก คงเป็นไปตามแผนนี้.
สังข์ พยายามเดินอย่างระมัดระวัง เกาะผนังถ้ำ ไปตามทางเดินแคบๆ, รู้สึกน่ากลัวกว่าทุกครั้ง. นี่มันไม่ใช่การเล่นเกมซ่อนหา. เมื่อเข้าไปใกล้ช่องแคบมืดๆ เขามองเห็น วัตถุผลึกแก้วนั่น อยู่ไม่ไกลแล้ว. กลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่จะก้าวผ่าน ร่องเหวอันน่าหวาดเสียวนี้ไป เพียงแต่ต้องระวังมากๆ. ถ้าหล่นลงไปข้างล่าง ทุกอย่างก็จบกันพอดี.
สังข์ มัวพะวงเรื่องทางเดิน และระวังร่องเหว, ลืมสังเกตไปว่า มีสิ่งหนึ่ง กำลังเคลื่อนไหว ในช่องแคบมืด. เสียงดังแก่กๆ ครืดๆ เขาสะดุดนิ่งอยู่กับที่, เอื้อย กับ โสนน้อย เกาะมือกันแน่น คอยลุ้นว่า สังข์ จะเจออะไร.
พลัน! อสูรร้าย ก็ค่อยๆ โผล่โฉมหน้าออกมา จากช่องแคบมืด. มันแลบลิ้นสองแฉกออกมาก่อน เพื่อหยั่งดูว่า เหยื่อของมัน อยู่ใกล้แค่ไหน. ดูเหมือนว่า มันกำลังรอจังหวะเหยื่อเผลอ. มังคงคิดว่า นี่ไม่ใช่ลิง ที่มันเคยจับกินเป็นประจำ คงไม่ง่ายอย่างนั้นแน่. ที่จริง มันคิดถูกแล้ว. อสูรในหลุมมืด เฝ้ารอ ดูทีท่าเหยื่ออยู่นาน. เืมื่อเหยื่อไม่ขยับ มันจึงเป็นฝ่ายขยับ เปิดเผยตัวตนออกมา. เอื้อย โสนน้อย ถึงกับตลึง. ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง เพ่งจ้องมองมัน แบบตาไม่กระพริบ. ในถ้ำนี้ เป็นถิ่นของงู ส่วนพวกมนุษย์ คือผู้บุกรุก มันย่อมไ้ด้เปรียบมากกว่า. สองสาวน้อย รวบรวมความกล้า นึกถึงคาถาที่ สังข์ เคยพูดบ่อยๆ กล้วหรือกลัว อยู่ที่หัวใจ แพ้หรือชนะ อยู่ที่สมอง ดีหรือชั่ว อยู่ที่ปัญญา. สัตว์ร้ายที่น่ากลัวกว่านี้ ก็เผชิญหน้ามาแล้ว อันตรายกว่านี้ก็เคยผ่านมาแล้ว.
พวกเธอ ค่อยๆ บรรจงหยิบหน้าไม้ วางลูกดอกบนราง, ทุกอากัปกิริยา ต้องเบา นิ่ง และเงียบ. สังข์ เงยหน้า มาสบตากับ เอื้อย พอดี. เธอทำสัญญาณมือ ให้เขายืนเอาลำตัวแนบผนังถ้ำ และอยู่นิ่งๆ อย่าขยับ. สังข์ เห็นมันแล้ว, กลิ่นตัวของเขา กระตุ้นต่อมรู้สึก ของอสรพิษร้ายตัวใหญ่มหึมา ให้มันค่อยๆ เลื้อยโผล่หน้า ออกมาจากมุมมืด. ลิ้นสองแฉกยังคงแลบออกมา เป็นระยะ. พอมันโผล่หัว พ้นช่องมืดออกมา ก็สอดส่ายไปมา เพื่อค้นหาเหยื่อ. ความใหญ่โตของมัน สามารถกลืนคนเป็นๆ ได้สบายๆ. มันเห็นเหยื่อแล้ว เลื้อยออกมา ชูคอแผ่พังพาน เตรียมจู่โจม. สังข์ ยืนถือดาบ รอมันอยู่แล้ว. เสี้ยวในสิบของวินาที! มันพุ่งฉกเหยื่ออย่างชะล่าใจ ขณะที่ สังข์ ยื่นดาบสวนออกไป.
ได้ผล! คมมีด เสียบปากทะลุไปข้างหลัง, เขี้ยวขาวงอโง้ง ส่องประกายให้เห็น อย่างน่าสะพรึงกลัว. มันดิ้น ดิ้น เพื่อให้มีดหลุดจากคอของมัน. สังข์ ออกแรงยึดยื้อดึงมีดออกจากปาก กับแรงกระชากของมัน ทำให้เขากระเด็นไป กระแทกกับผนังถ้ำ. มีดหลุดจากมือ หล่นลงไปบนพื้นทางเดิน. สังข์ เสียการทรงตัว เกือบตกลงไปข้างล่าง แต่เอามือคว้าแง่งหินไว้ได้ทัน.
เอื้อย ส่งเสียงร้อง หวาดเสียว. ตัวเขาห้อยต่องแต่ง อยู่ใต้แง่หิน. เจ้าอสรพิษร้ายยังไม่สิ้นฤทธิ์, มันพยายาม จะฉกเหยื่อซ้ำอีกครั้ง. สังข์ ออกแรง พยายามปีนแง่หินขึ้นมา. โสนน้อย ขัดขวางมัน ด้วยลูกดอกเท่าที่มี, ดอกที่สอง! ดอกที่สาม! ดอกที่สี่! ... ปักคาที่คอของมัน. จังหวะเดียวกันกับ สังข์ ปีนขึ้นมาได้พอดี, ช่วงเวลาเป็นเวลาตาย แค่หนึ่งในห้าของวินาที, สังข์ คว้ามีดที่วางนอนอยู่ ออกมาพ้นรัศมีบ้าคลั่ง ของอสรพิษยักษ์ และถือไว้ในมือ รอสวนกลับ หากมันยังไม่สิ้นฤทธิ์. โอกาสที่มันจะได้กินเหยื่อ หดสั้นเข้าไปทุกวินาที, มันถูกยิงเข้าที่ลำตัว ไปหลายดอก มันเคลื่อนไหวลำบากขึ้น. วินาทีแห่งการปกป้องตัวเอง ใกล้จะยุติลงแล้ว, เอื้อย ได้จังหวะ ในความเชื่องช้าของมัน จึงส่งมันไปลงนรก ด้วยลูกดอกอาบยาพิษ.
มันจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ ไม่อาจคาดเดาได้. ลูกดอกเพชรฆาต พุ่งไปเสียบลูกนัยน์ตาของมัน เข้าพอดี. เมื่อไฟฉายดับไปข้างหนึ่ง การทรงตัวก็ขาดสมดุล ดิ้นเลื้อยสะเปะสะปะ, นั่นคือสาเหตุ ที่ทำให้มันล่าถอย เลื้อยหายเข้าไปในช่องแคบมืด.
มันไปแล้ว แต่ สังข์ ยังเหนื่อยหอบ พ่นลมออกจากปาก ขับไล่อาการตื่นตระหนกออกไป. เอื้อย โสนน้อย รู้สึกโล่งใจ การเผชิญหน้าสัตว์ร้าย หนนี้ นับว่าหนักกว่าทุกคราว. ทุกคนปลอดภัย นับว่าเกมนี้เดิมพัันด้วยชีวิต สู้กันด้วยหัวจิตหัวใจและฝีมือ ระหว่างอสูรเจ้าถิ่น กับมนุษย์ผู้บุกรุก. ความจริงแล้ว ในเถื่อนถ้ำที่ไร้อารยธรรม ไม่อาจตัดสินได้ว่า ฝ่ายใดคือผู้บุกรุก หรือฝ่ายใดคือเจ้าถิ่น, และ ไม่สามารถใช้ความปราณีกับศัตรูได้เลย. ถ้าคนแพ้ ก็ตกเป็นเหยื่อ ถ้างูแพ้ ก็ตาย. คนอาจเป็นฝ่ายละเว้นชีวิตให้ ถ้าสัตว์เดรัจฉานดุร้าย ยอมหนีไป. แต่ในโลกของสัตว์เดรัจฉาน ที่กัดเคี้ยวกลืนกินพวกเดียวกันเอง ย่อมไม่ละเว้นชีวิตของศัตรู. เกมนี้ อสูรเป็นฝ่ายพ่ายไป, ถ้ามันทนพิษบาดแผลได้ มันก็คงเป็นงูตาบอดข้างหนึ่ง ไปตลอดชีวิต.
ภายนอกถ้ำ ใกล้ค่ำแล้ว ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าวันนี้ ดูแปลกๆ. ซีกด้านทิศเหนือ เมฆฝนเริ่มก่อตัว ส่วนซีกด้านทิศใต้ ท้องฟ้ากลับสดใส มองเห็นดาวเต็มไปหมด. ระหว่างรอที่ปากถ้ำ สินสมุทร สุดสาคร ไม่รู้เลยว่า เพื่อนรักทั้งสามคน ไปเผชิญอะไรมาบ้าง ภายในถ้ำ. และก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรเลย กับปรากฏการณ์บนท้องฟ้า. แต่พวกเขา กลับรู้สึกกระวนกระวายใจ เป็นห่วงเพื่อน ที่ยังอยู่ในถ้ำมากกว่า. ครั้นจะตามเข้าไป ก็เกรงว่าจะพลัดหลงกัน.
สารบัญ / ตอนที่ ปฐมบท -
บทที่ 2 สังข์ เอื้อย โสนน้อย
บทที่ 3 วันสังหาร
บทที่ 4 ชีวิตใหม่กลางภูผา
บทที่ 5 ภูติร้ายในป่ามรณะ
บทที่ 6 ประตูเวลาที่เรือนปีศาจ
บทที่ 7 หนอนทะเลทราย
บทที่ 8 หลุมดำดูดเวลา และการตามล่าของมนุษย์นอกจักรวาล
บทที่ 9 พบเพื่อนใหม่
บทที่ 10 ผจญภัยกลางมหาสมุทร
บทที่ 11 ปาฏิหาริย์ของเทพแห่งลิง
ภาคที่ 2: ฝ่าอุปสรรค เพื่อรักและอิสรภาพ
บทที่ 13 เทคโนโลยีล่องหน
บทที่ 14 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 1)
บทที่ 15 เส้นทางที่พลัดพราก
บทที่ 16 เมืองกาญจนา
บทที่ 17 บ้านของย่าทอง
บทที่ 18 วัยรุ่น วัยรัก วัยเรียน
บทที่ 19 ความรัก ความหวัง ยังไม่สิ้น
บทที่ 20 ตามหาเพื่อน
บทที่ 21 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 2)
ภาคที่ 3: รักนิรันดร์ ฝันเป็นจริง
บทที่ 23 นครรัฐเทพนารา
บทที่ 24 ชีวิตใหม่ ใจกลางมหานคร
บทที่ 25 ชีวิตจัดสรร ณ สันติอรุณ
บทที่ 26 สัมผัสแรก สัมผัสรัก
บทที่ 27 สังข์ทอง รจนา
บทที่ 28 วิกฤตของนครรัฐ
บทที่ 29 กู้วิกฤต
บทที่ 30 ฝันที่เป็นจริง
ปัจฉิมบท -
เพลง ฝ่าอุปสรรค ตามหารักนิรันดร์
|
|
|