![]() |
|
![]() |
|
ภาคที่ 2 บทที่ 15 เส้นทางที่พลัดพราก ตอนที่ 55 เปลี่ยนร่างอำพรางหนี
สังข์ ถูกพวกมนุษย์เผ่ากินคน ขังอยู่ในห้องแคบๆ ต่ออีกหนึ่งวัน. ค่ำคืนนี้ ข้างนอก คงมีพิธีกรรมใหญ่ อีกในไ่ม่ีช้า ซึ่งสังเกตได้ไม่อยาก, เพราะห้องขังอยู่ใกล้บริเวณพิธี. มีการตกแต่งกองไฟ ให้ดูเป็นพิเศษมากกว่าวันอื่นๆ มีจำนวนผู้มาชุมนุม เต็มลานดิน ที่อยู่หน้ากระโจมพักของหัวหน้าเผ่า. คนป่าพวกนี้ คงยกมากันทั้งหมู่บ้าน.
ก่อนเริ่มพิธี หัวหน้าเผ่า ออกมาจากกระโจม ตามด้วยหมอผีผู้ทำพิธี พร้อมด้วยโถใบหนึ่งในมือ. เดินตรงมาที่ห้องขังของเหยื่อพิธีบูชายัญ. เมื่อมาถึงหน้าประตู หัวหน้าเผ่ากระแทกไม้เท้า สั่งให้ผู้คุมเปิดประตู. ประตูเปิดออก หัวหน้าเผ่าและหมอผี อุ้มโถเข้ามาในห้อง, สั่งให้เหยื่อบูชายัญ ถอดเสื้อออก แล้วเอาผ้าที่พวกเขาทำขึ้นจากหนังสัตว์ สวมทับกางเกงของเหยื่อ. จากนั้น หัวหน้าเผ่าล้วงมือเข้าไปในโถ จุ่มลงไปในของเหลวที่อยู่ในนั้น, มันคือเลือดสดๆ แล้วเอามาป้ายที่หน้าผาก และตามลำตัวของเหยื่อ ทำเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง แล้วก็ออกไป และสั่งให้ปิดประตู.
สังข์ รู้สึกว่า นี่เป็นลางบอกเหตุไม่ดี. ถ้ายังถูกขังอยู่ในนี้ต่อไป ชีวิตคงไม่รอดในคืนนี้แน่นอน. วิทยุสื่อสารยังพอ มีแบตเตอรี แต่ก็ติดต่อกับใครไม่ได้, สารสเปรย์ล่องหนหมดไปนานแล้ว. เหลืออยู่สิ่งเดียว ที่เก็บซ่อนไว้ไม่ให้พวกคนป่ารู้ คือ กระบอกไซลิงค์บรรจุเมือกสีเขียวๆ. เขาหยิบมันขึ้นมาพิจารณา และไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน.
ภาพเสียงการสนทนาของนายหญิง กับ ดร.วีรพล ในวันนั้น ที่ห้องแล็บ สังข์ ยังจำได้ดี. ไม่มีหลักประกันเลยว่า ถ้าฉีดเมือกเขียวๆ นี่ เข้าไปในร่างกาย ในตอนนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา. ถึงเวลาหรือยัง ที่เขาจะต้องทำแบบนี้ ... ในยามคับขัน เขาต้องเสี่ยง ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว มันคือวิธีสุดท้ายที่เขาจะต้องทำ, ไม่เช่นนั้น ก็นั่งรอวันตาย ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า.
ก็ตลกดีนะ เมื่อสองวันก่อน ยังมีชีวิตที่สุขสบายดี สบายยิ่งกว่าใครเสียอีก ได้รับการเลี้ยงดู เหมือนเจ้าชายองค์น้อย. แต่วันนี้ กลายเป็นเชลยรอวันประหาร, จะยื้อชีวิตออกไป และหาโอกาสหนีออกไปจากที่นี่ คงมีทางเดียวคือ ยอมเป็นพวกเดียวกับพวกคนป่า เพระอย่างน้อย คนพวกนี้ จะไม่กินพวกเดียวกันเอง. แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า จะทำอย่างไร.
สังข์ ตัดสินใจ หยิบกระบอกไซลิงค์ หันปลายเข็มจี้ที่ลำคอ ... แล้วกดปุ่ม.
เพียงแค่นาทีเดียว สารสีเขียวในหลอดไซลิงค์ก็ออกฤทธิ์, แผ่ความเจ็บปวดและความร้อนทั่วร่าง. ที่สุดของที่สุดของความเจ็บปวดอื่นใด คงไม่ที่สุดเท่านี้อีกแล้ว, เหมือนกระดูกในร่างถูกบิด. ร้อนมากที่บริเวณผิวหนัง ใบหน้า เหมือนถูกอังด้วยไอน้ำ. ถ้ามีมาตรวัดความเจ็บปวด และสามารถวัดได้ เข็มชี้วัด คงจะพุ่งเลยขีดสูงสุดแน่ๆ. สังข์ดิ้นทุรนทุราย ร้องลั่นห้อง ด้วยความเจ็บปวด. แต่คนเฝ้ายามที่ประตู กลับไม่สนใจในสิ่งที่เกิดกับสังข์. เขาอาจคิดว่าอย่างไรเสีย เหยื่อบูชายัญ ก็ต้องถูกนำไปเชือด และก็ร้องเสียงหลงอย่างนี้ทุกราย. สังข์ นอนขดด้วยอาการทุรนทุราย อยู่นานราว 3 นาที แล้วเงียบเสียงไป.
จังหวะนั้น มีการผลัดเปลี่ยนเวรยามเฝ้าประตู และ สังข์ ได้สติฟื้นขึ้นมา, ลุกขึ้นนั่ง. คนเฝ้ายามที่เพิ่งมาเปลี่ยน เห็นเข้าก็ตกใจ. เอามือชี้ไปที่เหยื่อบูชายัญ พูดรำพึงกับตัวเอง เหมือนสงสัยลังเลอะไรบางอย่าง.
สังข์ เดาเอาว่า ร่างของเขาคงเปลี่ยนไปแล้วนี่เอง พวกคนป่าถึงกับประหลาดใจ และแสดงอาการลังเล สงสัย เหมือนไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง. ในช่วงเวลาวิกฤตเป็นตายแบบนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับตัวเขา. สังข์ ต้องอาศัยช่วงเวลานี้นี่แหละ พลิกสถานการณ์ คว้าอิสรภาพให้แก่ตัวเอง. เขาประมวลความคิดในหัว ซ้ำอีกครั้ง กล้าหรือกลัว อยู่ที่หัวใจ ชนะหรือแพ้ อยู่ที่สมอง ชั่วหรือดี อยู่ที่ปัญญา
สังข์ ยืนขึ้น แสดงท่าทาง เลียนแบบหัวหน้าเผ่า ของพวกคนป่าเผ่ามนุษย์กินคน, ทำตาถมึงทึง เขย่ากำปั้น เหมือนจับไม้เท้ากระแทกพื้น. ... ได้ผลเกินคาด! คนป่าที่เฝ้ายาม ถึงกับผงะ. สังข์ ออกคำสั่งไปมั่วๆ ให้เปิดประตู. แต่สิ่งที่คนเฝ้ายามได้ยิน กลายเป็นเสียงคำราม, ทำให้เขาตกใจ แสดงอาการงกๆ เงิ่นๆ รีบเปิดประตูทันที.
สังข์ เดาเอาว่า คนเฝ้ายาม คงมองเห็นเขาเป็นหัวหน้าเผ่า และสงสัยว่า หัวหน้าไปทำอะไร ในห้องขังของเหยื่อบูชายัญนั่น. ไม่รีรอให้เสียเวลาอีกแล้ว, สังข์ คว้ากระเป๋าเสื้อผ้า รีบออกมาจากห้องขัง แล้วทำหน้าถมึงทึง ใส่คนเฝ้ายามอีกครั้ง. เขารีบปิดประตูงับไว้เหมือนเดิม แล้วยืนท่าทางงงๆ. สังข์ ค่อยๆ เดินหายไปในความมืด. เมื่อพ้นเขตอันตราย ปลอดสายตาพวกคนป่าแล้ว สิ่งที่เขาเห็นข้างหน้าคือ พวกเขากำลังทำพิธี.
สังข์ ค่อยๆ ย่องไปที่ประตูหน้ากระโจมที่พัก ของหัวหน้าเผ่า คว้าเอาปืนติดมือไปด้วย. โชคดี ที่ยังมีกระสุนเหลืออยู่. นี่เป็นโอกาสสุดท้าย ที่จะเอาชีวิตรอด, สังข์ รีบคลำหาทางออก ไปจากดินแดนมัจุราช ให้เร็วที่สุด ก่อนพวกคนป่าเผ่ากินคน จะรู้ตัว.
สังข์ เดินฝ่าความมืด มาถึงกลางสะพาน ได้ยินเสียงเอะอะ โห่ร้องตะโกน. พวกเขาคงรู้แล้วว่า เหยื่อบูชายัญ หนีไปได้. เพราะเป็นเวลาวิกาล ความมืดช่วยอำพรางทุกอย่างไว้, ความโกลาหลก็เกิดขึ้น. มนุษย์เผ่ากินคน ต่างพากันคว้าคบเพลิง วิ่งกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ. สังข์ คิดว่า ถ้าเดินไปตามทางเดินบนดินแบบ คงออกไปไม่พ้นหมู่บ้านนรกนี่ได้แน่ อาจถูกพวกคนป่าจับได้เสียก่อน. แม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่คนพวกนี้ จมูกดี, คงตามกลิ่นคาวเลือดบนตัวเขาได้ไม่ยาก.
สังข์ตัดสินใจ ลงไปลอยคอในลำธารน้ำ ข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง แล้วปล่อยให้ไหลลอยเลาะไปตามชายฝั่ง. พวกคนป่ามนุษย์เผ่ากินคน ถือคบเพลิง วิ่งไปตามทางเดิน. สังข์ ค่อยๆ ลอยคออย่างเงียบกริบ ไหลไปตามกระแสน้ำ. น้ำในลำธาร เย็นยะเยือก แต่เขาก็ต้องทน นานราว 2 ชั่วโมง, รู้สึกหนาวมากจนแทบจะเป็นตะคริว. จึงตัดสินใจขึ้นจากฝั่ง ทั้งๆ ที่ยังมืด. ไม่แน่ใจว่า บริเวณนี้ พ้นเขตหมู่บ้านเผ่ามนุษย์กินคนหรือยัง. อยู่ในป่าคนเดียวแบบนี้ น่ากลัวไม่น้อย, หนาวสั่นจนทนไม่ได้. สังข์ ตัดสินใจก่อกองไฟขึ้น เป็นการป้องกันสัตว์ร้าย และให้ร่างกายอบอุ่น. ความร้อนจากกองไฟ ช่วยบรรเทาความหนาวได้บ้าง. เวลาผ่านไป น่าจะปลอดภัยบ้างแล้ว, จึงถอดเสื้อผ้า ออกมาผึ่งไฟ. ยังพอมีเวลา, สังข์ คว้าเอาปืนกลมาสำรวจดู ยังมีกระสุนอยู่ครึ่งแม็ก. ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้น ที่ยังมีอาวุธไว้ป้องกันตัว เผื่อพวกมนุษย์กินคนโผล่มาตอนนี้ คงได้เห็นดีกัน.
รุ่งเช้า เสียงนกและสัตว์ป่าปลุก สังข์ ให้ตื่นจากภวังค์. ได้ยินเสียงกรอบแกรบ เหมือนเสียงคนเดินเหยียบใบไม้แห้งๆ. เขารีบคว้าปืน กระเป๋า ไว้ติดตัว เตรียมพร้อม สายตาสอดส่ายไปรอบๆ. เผื่อถูกจู่โจมกะทันหัน จะได้รับมือได้ทัน. โชคดีมากๆ ที่กองไฟมันมอดไปแล้ว. สังข์ค่อยๆ คลานถอยออกไปจากที่นั่น แล้วหาที่กำบังใหม่ ที่รากไม้ของโคนต้นไม้ใหญ่. เขารู้ึสึกสังหรณ์ใจว่า อาจจะยังหนีไปได้ไม่ไกล. เพราะได้ยินเสียงแว่ๆ เหมือนกลุ่มคน พูดบ่นพึมพำด้วยภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง. เขาค่อยๆ โผล่หน้าจากรากไม้ ขึ้นไปดูที่มาของเสียง.
ตายโหง! นี่ยังไม่พ้นเขตหมู่บ้านมนุษย์กินคนอีกรึนี่. ทำไงดี! สังข์ ถามตัวเอง. พวกคนป่ามากันเป็นฝูง คงจะราวๆ 50 คน. คำนวณกระสุนที่มีอยู่ กับระยะห่างที่จะไม่ให้พวกมันประชิดตัว กับทุ่งโล่งที่อยู่ไม่ไกล, ก็สมควรเสี่ยง.
คนป่าที่เห็นเหยื่อวิ่งหนี โห่ร้องให้สัญญาณ เรียกพรรคพวกที่กระจายกัน ให้มารวมกันที่ตรงนี้. แค่ไม่กี่วินาที ฝูงคนป่า พากันวิ่งถือหอกไล่ตาม. สังข์ วิ่งไปได้สักพัก เห็นว่าพ้นป่าออกมา อยู่ในที่โล่งแล้ว จึงหยุดในที่กำบังที่พอจะหาได้, หันปลายกระบอกปืนไปทางเสียงโห่ไล่ กดไกปืน ยิงกราดออกไป. ...
พวกคนป่าล้มตายไปกว่าครึ่ง. พวกที่เหลือ คงรู้ว่าฝ่ายตนเสียเปรียบ จึงพากันวิ่งหนี หายเข้าป่าไป และไม่กลับมายุ่งกับเหยื่อ ที่เต็มไปด้วยเวทย์มนต์อีกเลย. สังข์ ทบทวนกลยุทธ์การต่อสู้ กับคนป่าพวกนี้, เหตุที่ชายชุดทหารสู้คนป่าไม่ได้ อาจเป็นเพราะความกลัว สติแตก เลยยิงปืนมั่ว. และบริเวณนั้น มีต้นไม้หนาแน่นมากเกินไป พวกคนป่าจึงใช้เป็นที่กำบังตัวได้. อีกเหตุผลหนึ่ง ตอนนั้น พวกคนป่ามีจำนวนมากเกินไป. แต่ตอนนี้ สงครามจบแล้ว.
สังข์ เดินพ้นเขตหมู่บ้านมนุษย์เผ่ากินคน ออกมาไกลแล้ว, สำรวจสัมภาระอีกครั้ง เห็นว่า ในรังเพลิง ไม่มีกระสุนเหลืออยู่เลย จึงโยนปืนทิ้งไป, เดินตัวเปล่าพร้อมด้วยกระเป๋า. จนกระทั่ง มาถึงลำธารน้ำแห่งหนึ่ง. เขาเริ่มจำทิศทางได้, นี่คงเป็นลำธารที่เขาเจอครั้งแรก. สังข์ นั่งพักเหนื่อยข้างลำธาร มองตัวเองไปที่ผิวน้ำ อะไรกันนี่! หน้าตาของเขา เปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้เชียวหรือ. รู้สึกมึนงง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง. เขาพยายามเบือนหน้า หนีเงาภาพที่บิดเบี้ยวในพื้นผิวน้ำ. ความรู้สึกเสียใจ ถาโถมเข้ามารอบทุกทิศทาง จนร้องไห้ออกมา.
สารรูปของตัวเอง ที่ปรากฏบนผิวน้ำ คือตัวตนของเขารึนี่! สังข์ พยายามจะเอ่ยปากพูด แต่กลับฟังเสียงของตัวเองไม่รู้เรื่อง เหมือนมีก้อนเนื้อจุกในลำคอ. เกิดเรื่องบ้าบออะไรกันใหญ่เล่านี่, เขาเป็นแบบนี้ไปแล้ว แล้วจะอธิบายกับเพื่อนๆ ได้อย่างไร จะมีใครจดจำเขาได้บ้าง.
สังข์ พยายามสงบสติอารมณ์ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองกระแสน้ำที่ไหลทอดเอื่อยๆ ไปตามลำธาร. สวรรค์อาจเลือกวิถีทางให้เขาเป็นแบบนี้ ดีกว่าต้องตายเพราะตกเป็นเหยื่อบูชายัญ. นี่แหละวิถีชีวิตของนักเสี่ยงโชคผจญภัย เมื่อได้สิ่งหนึ่ง ก็ย่อมสูญเสียอีกสิ่งหนึ่ง เป็นการแลกเปลี่ยน. แต่เขาก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า สิ่งที่สวรรค์มอบทางเลือกให้เขา, ตกลง จะส่งผลดีหรือผลร้าย ให้แก่ตัวเขากันแน่.
กระแสน้ำไหลทอดยาวไปอีกไกล ป่านนี้ เอื้อย กับ โสนน้อย คงไปรอดปลอดภัยดีแล้ว. แต่สองพี่น้อง สินสมุทร สุดสาคร ยังติดอยู่ในเมืองนรกนั่น. สังข์ รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนขึ้นมาทันที. พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ยังไม่รู้ชะตาชีวิต เป็นหรือตาย แต่เมื่อเพื่อนลำบาก เขาต้องกลับไปช่วย. แม้ว่า การย้อนกลับเข้าไปในเมืองทาสนรกนั่น โอกาสที่จะกลับออกมาได้อีกครั้ง มีเพียงน้อยนิด. แต่เขาก็เลือกที่จะไป ถ้าชีวิตมันจะบ้า ก็ขอให้บ้าไปให้สุด. ตอนนี้ อยู่หรือตาย ก็แทบจะไม่เหลือตัวตน ให้คนรู้จักอีกแล้ว.
สังข์ กลับเข้าไปเป็นทาส ในนครพันธุรัฐอีกครั้ง ในร่างของคนป่า มนุษย์เผ่ากินคน. ไร้ร่องรอยและไร้หลักฐาน ที่จะยืนยันระบุอัตลักษณ์ตัวตน ว่าเขาเป็นใคร.
สารบัญ / ตอนที่ ปฐมบท -
บทที่ 2 สังข์ เอื้อย โสนน้อย
บทที่ 3 วันสังหาร
บทที่ 4 ชีวิตใหม่กลางภูผา
บทที่ 5 ภูติร้ายในป่ามรณะ
บทที่ 6 ประตูเวลาที่เรือนปีศาจ
บทที่ 7 หนอนทะเลทราย
บทที่ 8 หลุมดำดูดเวลา และการตามล่าของมนุษย์นอกจักรวาล
บทที่ 9 พบเพื่อนใหม่
บทที่ 10 ผจญภัยกลางมหาสมุทร
บทที่ 11 ปาฏิหาริย์ของเทพแห่งลิง
ภาคที่ 2: ฝ่าอุปสรรค เพื่อรักและอิสรภาพ
บทที่ 13 เทคโนโลยีล่องหน
บทที่ 14 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 1)
บทที่ 15 เส้นทางที่พลัดพราก
บทที่ 16 เมืองกาญจนา
บทที่ 17 บ้านของย่าทอง
บทที่ 18 วัยรุ่น วัยรัก วัยเรียน
บทที่ 19 ความรัก ความหวัง ยังไม่สิ้น
บทที่ 20 ตามหาเพื่อน
บทที่ 21 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 2)
ภาคที่ 3: รักนิรันดร์ ฝันเป็นจริง
บทที่ 23 นครรัฐเทพนารา
บทที่ 24 ชีวิตใหม่ ใจกลางมหานคร
บทที่ 25 ชีวิตจัดสรร ณ สันติอรุณ
บทที่ 26 สัมผัสแรก สัมผัสรัก
บทที่ 27 สังข์ทอง รจนา
บทที่ 28 วิกฤตของนครรัฐ
บทที่ 29 กู้วิกฤต
บทที่ 30 ฝันที่เป็นจริง
ปัจฉิมบท -
เพลง ฝ่าอุปสรรค ตามหารักนิรันดร์
|
|
![]() |
|
|