ภาคที่ 1 บทที่ 6 ประตูเวลาที่เรือนปีศาจ ตอนที่ 20
การเดินฝ่าพายุฝน มาตลอดทั้งวัน สร้างความอ่อนเปลี้ย และความหิว ก็หนักหนาสาหัสไม่น้อย ยังต้องมาเจอกับเหตุการณ์ประหลาด หวาดเสียวนี่อีก ทำให้ทุกคนหลับใหล ด้วยความอ่อนเพลีย. แตพวกเขาก็ไม่ลืมกฏสำคัญ ของการอยู่เวรยาม. ซู อาสาอยู่เวรแรก ทรุดตัวลงนั่ง เอาหลังพิงเสากลางบ้าน. มีพลังบางอย่าง กระตุ้นประสาทของ ซู ไม่ให้หลับได้ง่ายๆ ทั้งๆ ที่ตัวเอง ก็อ่อนแรง ไม่แพ้คนอื่นๆ. ในสมองครุ่นคิด สับสน หาคำตอบไม่ได้ว่า ในหัวของเขา ต้องการอะไรกันแน่. วัตถุในกระเป๋าหนังสีดำ มันเกี่ยวข้องอย่างไรกับตัวเขา.
ฝนที่เพิ่งหยุดตก เริ่มโปรยลงมาอีก, นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ประเดี๋ยวตก ประเดี๋ยวหยุด. ซู ค่อยๆ ลุกขึ้น อาศัยแสงจากฟ้าแลบข้างนอก คว้าตะเกียงติดมือไปด้วย คลำทางเดินไปที่บันได ในมืออีกข้าง กุมของสิ่งหนึ่งไว้แน่น.
เมื่อเดินขึ้นไปถึงชั้นบน, เขาจุดไฟที่ตะเกียง เดินไปเปิดม่านหน้าต่างออกทั้งสองด้าน ให้ภายในห้อง รับกับลมฟ้าลมฝน และประกายแสงสีน้ำเงิน จากบนฟ้า. เพียงแค่เข็มนาทีกระดิก, เหตุการณ์ประหลาดที่เพิ่งผ่านไป เมื่อตอนหัวค่ำ ก็ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง, ราวกับว่า เขาเจตนา สร้างเหตุการณ์ประหลาดนี้. ลมหอบเอาละอองฝน เข้ามาไม่ขาดระยะ และมากกว่าเก่า. ขดลวดเริ่มเคลื่อนไหวเป็นก้อนกลมอีกครั้ง เสียงคราง บลวกๆ! ดังขึ้น ประกายไฟสีน้ำเงินเข้ม ก็เริ่มซัดส่าย แลบออกมาจากกองขดลวด. มันรวมตัวกัน พุ่งไปยังเป้าหมาย กระทบกับกระจก บนแผ่นไม้บานใหญ่ทั้งสามแผ่น พร้อมๆ กัน พื้นบ้านสั่นไหวขึ้นมาอีกรอบ.
ปลุกให้ทุกคนที่นอนอยู่ ตกใจตื่น. จาอู รวบรวมสติ แต่ยังลังเล ว่าจะปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนี้ หรือจะออกไปดู ว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาอีก. สัญชาติญาณ ช่วยให้เขาตัดสินใจเร็วขึ้น รีบคว้าตะเกียงขึ้นมาจุดโดยเร็ว แล้วยกขึ้นส่องดู สมาชิกทุกคนอยู่ครบ นอกจาก ... คงเกิดเรื่องไม่ดีกับ ซู แน่แล้ว.
เสียงกระซิบสั่ง ของศีรษะหินแกะสลัก รูปใบหน้าคนป่า ปรากฏขึ้น ในหัวของ ซู อีกครั้ง. นัยน์ตาของเขา เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อได้ยินเสียง ... จงเอามันมาให้ข้า ม่านตาสีแดงอมเหลือง ค่อยๆ ปรากฏขึ้น.
เขาเดินเข้าไปใกล้กองขดลวด เหมือนถูกสะกดจิต. ซู หยิบวัตถุนำทางของ สังข์ ออกมาจากซองหนัง แล้วชูขึ้น. ประกายไฟฟ้าสีน้ำเงินเข้มจนเกือบขาว แล่นแลบแปลบปลาบ ท่ามกลางหมอกควันจางๆ จากกองขดลวด ไล่เรียงรวมกันเป็นเส้นสาย พุ่งเข้าใส่ตัวเขา. ร่างของ ซู สั่นสะท้าน เหมือนคนถูกไฟฟ้าชอร์ต. ประกายไฟฟ้าปีศาจนั่น แล่นผ่านร่างของเขา ไปรวมกันที่วัตถุนำทาง ที่เขาถืออยู่ในมือ แล้วมันก็ถูกเร่งความถี่. ความเข้มของสายฟ้า ถูกบีบอัดแน่น จนสว่างกลายเป็นสีขาว แล่นผ่านปลายแฉกทั้งสามด้าน ของวัตถุนำทาง วิ่งไปชนกระจก ทีละแผ่นๆ แตกกระจายไปทั่วห้อง. ร่างของ ซู ยังคงยืนดิ้น สั่นกระเส่า ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด.
เสียงกระจกแตก และเสียงร้องโหยหวนของซู ที่อยู่ข้างบน สร้างความตื่นตระหนก ให้กับทุกคน. อะไรกันนี่! มันเกิดขึ้นอีกแล้วรึ! จาอู กับ สังข์ รีบคว้าอาวุธ ถือตะเกียงที่จุดรอไว้แล้ว รุดไปที่ราวบันได.
ร่างของซู ค่อยๆ ถูกกระแสไฟสีฟ้าเข้มข้น ดูดหลอมละลาย หายเข้าไปในกองขดลวด พร้อมกับหมอกควันสีขาว ทิ้งร่องรอยของเศษกระจก แตกกระจาย ไว้ข้างหลัง. เขาร้องโหยหวนด้วยความกลัว และความเจ็บปวดสุดประมาณ.
เมื่อ จาอู กับ สังข์ วิ่งไปถึงข้างบน, เศษกระจกแตกกระจัดกระจายไปทั่วพื้น ไม่มีร่องรอยของ ซู ไม่มีแม้กระทั่งรอยเลือด หรือร่องรอยการต่อสู้. ซูหายไปแล้ว เขาหายไปได้อย่างไร. จาอู ทรุดตัวนั่งลง ร้องไห้ ตะโกนเรียก ซู! ซู! ... สักครู่ เอื้อย โสนน้อย และ อัง วิ่งขึ้นมาดูเหตุการณ์.
รุ่งเช้า โสนน้อย ป่วยเป็นไข้ เป็นเพราะฝนเมื่อวาน และพักผ่อนไม่พอ. เอื้อย ห่มผ้าให้เพื่อน แล้วพาไปนั่งใกล้ๆ เตาผิง. สังเกตว่า แต่ละคนที่เหลืออยู่ เตรียมเครื่องมือล่าสัตว์ คงจะออกไปที่ไหนสักแห่ง. แต่ตอนนี้ เธอไม่กล้าทิ้งเพื่อนไปไหน. สังข์ ได้แต่ภาวนาว่า อย่าให้ เอื้อย ป่วยไปอีกคนก็แล้วกัน. เขาบอกกิจกรรมวันนี้.
จาอู ยังไม่ไว้วางใจ สถานการณ์ข้างนอก, เกรงว่า จะมีสัตว์ประหลาด คอยดักซุ่มอยู่. เขารื้อสิ่งกีดขวาง ที่พวกเขาสร้างไว้กันพวกปีศาจเมื่อคืนนี้ ออกไป แล้วค่อยๆ ดึงบานประตู เปิดออก อย่างระมัดระวัง. ลมเย็น จากข้างนอก ไหลผ่านประตูเข้ามา ปะทะกับใบหน้า. เขาออกไปที่ระเบียง หน้าประตูบ้าน สังเกตบริเวณรอบๆ ทั้งระยะใกล้และระยะไกล, ข้างนอกนี่ปลอดภัย แสงอาทิตย์ เริ่มส่องลงมา เป็นสัญญาณว่า กลางวันวันนี้ สว่างสดใส ไม่อึมครึมเหมือนเมื่อวาน. อัง และ สังข์ ตามออกไป ... พากันเดินหายเข้าไปในป่า.
ทุกคนไปกันหมดแล้ว เอื้อย เอายาให้ โสนน้อยกิน กับเศษเนื้อย่างที่เหลือ แล้วให้นอนต่อ. จากนั้น ก็ขนเสื้อผ้าที่ยังแห้งไม่สนิท ออกไปผึ่งข้างนอก. ตัวประหลาดเมื่อคืนนี้ ฝากรอยเท้าไว้เต็มไปหมด, มันก็คือรอยเท้าคนดีๆ นี่เอง. อาจจะเป็นปีศาจ แปลงร่างมาเป็นคน หรือไม่ก็ เป็นพวกคนป่าเผ่าหนึ่ง. เอื้อย นึกถึงคำบอกเล่าของ ครูเพ็ญ ที่โรงเรียน, คนที่ตายแล้วจริงๆ จะลุกออกมาเดินอีกไม่ได้. พวกฝรั่งเชื่อว่า มีศพคนที่เดินได้จริงๆ เขาจะเรียกมันว่า ซอมบี้. มันจะเดินช้าๆ นัยน์ตาของมัน จะเป็นสีเทา เหมือนคนตายแล้ว. แต่ที่เห็นเมื่อคืน มันจะใช่หรือไม่ใช่พวกซอมบี้ ก็ชั่งเถอะ ไม่อยากเจอกับมันอีกแล้ว.
เวลาผ่านไปจนใกล้สาย, สังข์ จาอู และ อัง ยังไม่กลับมา โสนน้อย ยังหลับอยู่. เอื้อย ถือโอกาส เดินขึ้นไปสำรวจชั้นบนของตัวบ้าน เพื่อดูให้แน่ใจว่า เมื่อคืนนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับ ซู กันแน่. ข้างบนนี่ กระจกแตกเกือบหมดทุกบาน เศษกระัจกยังกองอยู่ที่พื้น มีบางส่วนเหลืออยู่ ที่กองขดลวด ม่านหน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้ ... การหายไปของ ซู คาดเดาได้หลายทาง. เขาอาจสติแตก แล้วกระโดดหน้าต่างหนีไป หรือไม่ก็ ถูกปีศาจจับโยนลงไปข้างล่าง. เอื้อย ค่อยๆ ย่างเท้าไปที่หน้าต่างบานหนึ่ง ก็ไม่มีร่องรอยของการถูกจับโยน. เพราะเศษกระจกหน้าต่าง มันตกที่บนพื้นบ้าน ข้างในตึกเต็มไปหมด. และเมื่อยื่นหน้าออกจากหน้าต่าง ไปดูที่พื้นดิน ก็ไม่มีร่องรอย เศษกระจักสักบาน. ซู หายไปไหน หายไปได้อย่างไร ยังคงเป็นปริศนาต่อไป.
ช่วงสายๆ สังข์ กับ จาอู กลับมา พร้อมกับกระต่ายป่าคู่หนึ่ง และผักป่าสองสามอย่าง.
เมื่อรู้ว่า อัง ยังไม่กลับ จาอู รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที. สถานการณ์เริ่มไม่ดีอีกแล้ว สังข์ พูดปลอบขึ้นว่า
เพื่อให้แน่ใจว่า อัง ยังไม่กลับเพราะหลงป่า หรือว่า ถูกเสือกิน, จาอู กับ สังข์ ออกไปตามหา อัง อีกรอบ. มาลา อยู่ทำอาหาร และอยู่เป็นเพื่อน เอื้อย กับ โสนน้อย. รอจนกระทั่งบ่าย. โสนน้อย รู้สึกตัว มีอาการดีขึ้น แต่จาอู กับ สังข์ ยังไม่กลับมา พวกเขายังไม่ได้กินอะไรเลย เด็กทั้งสอง เริ่มว้าวุ่นใจ เพราะรอมาครึ่งค่อนวันแล้ว ก็ยังไร้วี่แวว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มขึ้นมาอีก.
จาอู สังข์ เดินหน้าละห้อยกลับมา โดยไม่มี อัง ... ความโศกเศร้า อาลัย ความวิตกกังวล กลับมาครอบงำ พวกนักผจญภัยอีกแล้ว. พวกเขาเพิ่งสูญเสีย บันตู ไป เมื่อสองวันก่อน เมื่อคืน ซู ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วนี่จะต้องมาเสีย อัง อีกคนละหรือ. พวกเด็กๆ รู้สึกเกรงใจและเห็นใจ จาอู มาก. สังข์ รอให้ จาอู เป็นคนตัดสินใจว่า จะอยู่รอคนที่หายไป หรือจะไปต่อ.
คณะผจญภัย จำเป็นต้องพักแรม ในบ้านผีสิงนี่ ต่ออีกหนึ่งคืน เพราะถ้าเดินทางไปตอนนี้ ก็เสี่ยงกับการฝ่าสายฝนอยู่ดี. พวกเขาคาดการณ์ไม่ผิด, หลังพระอาทิตย์ตกดิน มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นอีกแล้ว. แต่คราวนี้ ไม่เหมือนเมื่อคืน. แขกที่มาเยือน ในยามวิกาลคืนนี้ น่าสะพรึงกลัวกว่ามากนัก. เสียงฟ้าคำราม ปลุกให้ปีศาจตื่นขึ้น, มันมาพร้อมกับเสียงดัง ฮึงๆ! ฮึงๆ! วนเวียนอยู่นอกตัวตึก. ตะเกียง ถูกปิดคลุมด้วยเศษแผ่นไม้ กันแสงสว่าง ลอดออกไปท้าทายพวกปีศาจ, คงเหลือแต่เตาผิงไฟไว้. ทุกคนพยายามเพ่งสายตาดูว่า สิ่งที่อยู่ข้างนอก ที่มาพร้อมกับเสียงนั่น คืออะไร. ทุกอย่าง ว่างเปล่า ไร้ร่าง มันมีแต่เสียง.
พอฝนเทลงมา เสียง ฮึงๆ! ฮึงๆ! ก็ดังถี่ขึ้น ... ทันใดนั้น!
สายฟ้าแลบ กับเสียงฟ้าร้อง สนั่นหวั่นไหว ดังขึ้นเกือบพร้อมกัน. สายฟ้าผ่า ฟาดเปรี้ยง 4 - 5 ครั้ง รอบๆ ตัวตึก, ราวกับว่า มีอะัไรสักอย่าง ดูดเอาสายฟ้า ฟาดลงมาที่นี่. ฟ้าผ่าแต่ละครั้ง ตึกก็โยกเยกไปตามแรง สติเท่านั้น ที่จะประคองจิตใจของพวกเขา ให้หยุดนิ่งและสงบอยู่ได้ ภายใต้ความกลัวอย่างสุดขั้ว.
เสียง ฮึงๆ! ฮึงๆ! หยุดที่ประตูใหญ่หน้าบ้าน. ไม่รู้ว่า สิ่งกีดขวาง โต๊ะ ตู้ เก้าอี้ ที่วางขัดพิงประตูไว้ จะยันพวกปีศาจ ไว้ได้หรือไม่. สักพัก มีเสียง ปัง! ปัง! ปัง! บานประตูถูกทุบอย่างแรง. สิ่งกีดขวางประตู พังคลืน เหมือนมีแรงประหลาด ผลักรื้อให้มันกระเด็นกระดอนออกไป. เสียง โครม! ของบานประตู ดังขึ้น มันพังลงมากองกับพื้น ฝุ่นคละคลุ้งไปหมด. มีกลิ่นเหม็นไหม้ ออกมาจากฝุ่นที่บานประตู.
อะไรกันนั่น!! คราวนี้ มันปรากฏทั้งตัวและเสียง, เกิดประกายไฟฟ้าสีส้มเหลือง เป็นเส้นเกลียว ม้วนตัวรวมกันเป็นก้อน ตอนที่มันอยู่นิ่ง และ คลายเกลียวออก เป็นเส้นๆ ตอนที่มันไหลเคลื่อน ไต่ไปตามผนังห้อง พื้น ตู้ โต๊ะ และทุกๆ ที่ ที่มันผ่านไป จะ็ปรากฏรอยไฟไหม้ กลิ่นเหม็นไหม้ โชยมาแตะจมูก.
ดูเหมือนว่า พวกมันมีนิสัย ก้าวร้าวมาก. ทุกคน ต้องหลบหลีกเอาตัวรอด ไม่ให้มันเข้าถึงตัว หรือ ซ่อนตัว ให้ห่างจากประกายไฟปีศาจนั่น, มิฉะนั้น ใครก็ตามถ้าให้มันถูกต้องเนื้อตัว ถ้าไม่เป็นไก่ย่าง ก็คงเป็นเนื้อหมูไหม้. ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ชีวิตของพวกเขา จะรอดพ้นจากคืนนี้หรือไม่ ...
ก้อนถ่านในเตาผิงที่ทำท่าจะมอด สว่างเป็นสีเพลิงขึ้นมาอีกครั้ง. ผ้าห่มผืนใหญ่ ที่วางอยู่ใกล้ๆ ถูกประกายไฟของปีศาจ เผาไปซีกหนึ่ง. ความกลัว ปิดปากของพวกมนุษย์ไว้แน่นสนิท ไม่มีใครกล้าส่งเสียงร้องออกมา. ประกายไฟปีศาจ ลุกไล่ ลามไปทั่วห้องโถง เหมือนค้นหาบางสิ่ง. มันคงรู้แล้วว่า ข้างล่างนี่ ไม่มีสิ่งที่มันต้องการ มันจึงเลื้อยไปที่ราวบันไดเหล็ก และหายขึ้นไปข้างบน.
จาอู มาลา และพวกเด็กๆ ช่วยกันรีบดับไฟในเตาผิง และที่ผ้าห่ม เพราะเกรงว่า แสงไฟ อาจจะเรียกแขกเมื่อคืนนี้ กลับมา. และพวกเขา คาดเดาถูกต้อง, พื้นชั้นบน สั่นสะเทือนหนัก เหมือนตึกใกล้จะพัง ละอองฝุ่นจากเพดาน หล่นลงมาเป็นระยะๆ และหนักขึ้นเรื่อยๆ.
ประกายไฟแลบแปลบปลาบขึ้นอีกครั้ง รอบๆ ขดลวด. คราวนี้มันเปลี่ยนเป็นแสงสีน้ำเงิน และเคลื่อนไหวช้าลง. ปรากฏการณ์แบบนี้ ยากที่จะหาคำอธิบาย ปีศาจพวกนี้ มันกำลังจะทำอะไร ผลลัพธ์ที่ตามมา จะสาหัสแึึค่ไหน.
เสียงกระจกที่เหลือไม่กี่บาน แตกกระจาย เหมือนถูกรุมยิงด้วยกระสุนปืน. เอื้อย กับ โสนน้อย กอดกันแน่น. เสียงอุบาทว์นั่น ดังติดต่อกันสักอึดใจ แล้วหยุดลง ราวกับหลังสงครามยุติ. ความคิดที่จะลุกออกไป สำรวจดูความเสียหายในตอนนี้ ไม่มีอยู่ในสมอง โดยเฉพาะที่ชั้นบน. มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ชั่งมัน ตึกไม่พังตอนนี้ ก็นับว่าบุญแล้ว.
ไม่นาน เหตุการณ์ระทึก ก็ค่อยๆ สงบลง พร้อมกับ ความง่วงเข้ามาแทนที่ ขับไล่ความกลัวให้หายไป. ใครนั่งหรือซ่อนตัวอยู่จุดไหน ก็ยึดพื้นที่อยู่ตรงนั้น รอจนกว่าคืนหฤโหดนี้ จะผ่านพ้นไป. พวกเขาหลับสนิท โดยที่ไม่มีใครอยู่เวรยามกันเลย.
รุ่งเช้า สังข์ ชวน จาอู ออกไปข้างนอก สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด. แล้วสำรวจบริเวณรอบตัวตึก มันโย้เอนไปมาก. อีกไม่นานก็คงพัง เพียงแค่มีลมฝนพัดมา. พวกเขากลับเข้ามาข้างในอีกครั้ง, ข้างในนี่ ยังมีกลิ่นไฟไหม้ ตลบอบอวลไปทั่ว. จาอู พยายามปีนป่ายบันได อย่างระมัดระวัง ขึ้นไปดูชั้นบนของตึก. เหมือนที่คาดเดาไว้ไม่ผิด ข้าวของถูกทำลาย เหมือนผ่านสงครามมาใหม่ๆ ตึกหลังนี้ ไม่สมควรจะได้รับซ่อมแซม. เขารีบกลับลงมา สั่งให้ทุกคน สำรวจข้าวของ อุปกรณ์เดินทาง.
สังข์ รู้สึกเป็นกังวล ครุ่นคิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา. มันหายไป พร้อมกับซู. หลายวันมานี่ ซู มีท่าทางแปลกๆ เมื่อเห็นของในซองนั่น. เขาไม่ไว้ใจ จึงนำติดตัวไว้ตลอด, แต่เมื่อคืน เหตุการณ์มันชุลมุนวุ่นวายไปหมด เขาเผลอวางมันไว้ นอกกระเป๋า จนได้.
คณะเดินทาง เหลือชีวิตรอดเพียง เด็กสามคน กับ จาอู และ มาลา เท่านั้น, 5 ชีวิต กับความหวัง และโชคชะตา จะต้านทาน อุปสรรค ที่รออยู่ข้างหน้า ได้หรือไม่ ยังไม่มีใครรู้ได้. ตอนนี้ ความหวาดกลัว กับ ความมุ่งมั่น กลับมายื้อยุดฉุดรั้งกันอีกครั้ง, พวกเขา จะเดินหน้าต่อ หรือถอยหลังกลับ. มันมีแค่สองทางเลือกเท่านั้น. สมาชิกเริ่มเหลือน้อยลงทุกวัน ไม่รู้ว่ารายต่อไป จะเป็นใคร ที่อาจต้องสังเวยชีวิต ให้กับพวกภูติปีศาจ ที่ดักรอพวกเขา ไม่ว่าจะย้อนกลับ หรือเดินหน้าก็ตาม.
จาอู ขยับแขนกางออก แล้วรวบเด็กๆ เข้ามากอดไว้ อย่างนุ่มนวล กล่าวด้วยเสียงเศร้าๆ กว่าทุกคราว. ซู ไม่อยู่ อัง ก็ตายแล้ว เราไปกันเถอะ
ความกล้า ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง. วัตถุนำทางก็ไม่มี พวกเขาจะต้องพึ่งตัวเอง พึ่งโชคชะตา. พวกเด็กๆ ยังต้องไปต่อ ภาระกิจยังไม่เสร็จสิ้น จาอู ตัดสินใจ รวบรวมกำลังใจกำลังกายที่เหลือ เลือกเอาสัมภาระที่สำคัญและจำเป็น ติดตัวไป โดยเฉพาะอาวุธ ซึ่งเหลือน้อยเข้าไปทุกที. แต่ก็ไม่ลืมที่จะพกพา ลูกดอกนาคาติดตัวไปด้วย เพราะมันเป็นอาวุธชุดสุดท้าย ที่เหลืออยู่.
สารบัญ / ตอนที่ ปฐมบท -
บทที่ 2 สังข์ เอื้อย โสนน้อย
บทที่ 3 วันสังหาร
บทที่ 4 ชีวิตใหม่กลางภูผา
บทที่ 5 ภูติร้ายในป่ามรณะ
บทที่ 6 ประตูเวลาที่เรือนปีศาจ
บทที่ 7 หนอนทะเลทราย
บทที่ 8 หลุมดำดูดเวลา และการตามล่าของมนุษย์นอกจักรวาล
บทที่ 9 พบเพื่อนใหม่
บทที่ 10 ผจญภัยกลางมหาสมุทร
บทที่ 11 ปาฏิหาริย์ของเทพแห่งลิง
ภาคที่ 2: ฝ่าอุปสรรค เพื่อรักและอิสรภาพ
บทที่ 13 เทคโนโลยีล่องหน
บทที่ 14 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 1)
บทที่ 15 เส้นทางที่พลัดพราก
บทที่ 16 เมืองกาญจนา
บทที่ 17 บ้านของย่าทอง
บทที่ 18 วัยรุ่น วัยรัก วัยเรียน
บทที่ 19 ความรัก ความหวัง ยังไม่สิ้น
บทที่ 20 ตามหาเพื่อน
บทที่ 21 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 2)
ภาคที่ 3: รักนิรันดร์ ฝันเป็นจริง
บทที่ 23 นครรัฐเทพนารา
บทที่ 24 ชีวิตใหม่ ใจกลางมหานคร
บทที่ 25 ชีวิตจัดสรร ณ สันติอรุณ
บทที่ 26 สัมผัสแรก สัมผัสรัก
บทที่ 27 สังข์ทอง รจนา
บทที่ 28 วิกฤตของนครรัฐ
บทที่ 29 กู้วิกฤต
บทที่ 30 ฝันที่เป็นจริง
ปัจฉิมบท -
เพลง ฝ่าอุปสรรค ตามหารักนิรันดร์
|
|
|