ภาคที่ 2 บทที่ 12 นครพันธุรัฐ เมืองคนทาส ตอนที่ 40 เชลย
เรือของพวกเด็กๆ มุ่งไปทางทิศตะวันตก แบบช้าๆ ด้วยกำลังของใบพัดจากแบตเตอรี่ ที่เหลืออยู่อย่างจำกัด. ผ่านไปราว 7 วัน ก็ยังไม่เห็นฝั่ง. กำลังใบพัดของมัน ก็เริ่มช้าลง. แสงกระพริบจากหลอดไฟสีเขียว ที่อยู่ด้านขวาของแผงควบคุม ก็เริ่มกระพริบถี่ขึ้น สุดสาคร ขยับตัว.
สุดสาคร กับ สังข์ ขึ้นไปข้างบน ตอนนี้เรียกว่า หลังคาเรือ. ลมพัดเอื่อยๆ ไม่แรงนัก คลื่นทะเลก็ไม่สูง, บรรยากาศท้องฟ้าขมุกขมัว ทัศนวิสัยวันนี้ไม่ดีเลย. สังข์ เอากล้องทางไกล ส่องออกไป, คงมองไปได้ไกล ไม่เกิน 200 เมตร. สักครู่ สินสมุทร ก็ตามขึ้นมา เรือแล่นช้าลงมาก เขาบอก.
สังข์ หยิบเอาแท่งโลหะนำโชค จากกระเป๋าขึ้นมาดู ไม่มีแสงจากหลอดไฟนั่นแล้ว, มันดับสนิท. มันก็แค่วัตถุ คงจะไม่มีพลังอำนาจวิเศษณ์ ดลบันดาลอะไรให้ได้หรอก แต่เขาก็ยังไม่ลืมคำขอร้องของ เคน ที่จะต้องเก็บไว้กับตัว. หรือว่า เคน รู้อนาคต ว่าสิ่งนี้จะให้โชคแก่เขา ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง. สังข์ เก็บมันไว้ที่เดิม ในกระเป๋า, เหตุผลที่แย่ที่สุด ที่จำเป็นต้องเก็บไว้ คือ เป็นของที่ระลึก.
สังข์ คิดอะไรเพลินๆ ได้ไม่นาน ก็มีเหตุการณ์ประหลาด เกิดขึ้น. เด็กๆ ได้เจอะอะไรที่ตื่นเต้นอีกแล้ว, หลังจากนั่งนอนอยู่ในเรือเหล็ก มานานหลายวัน. บริเวณนั้น ทะเลถูกแบ่งออกเป็น 2 ซีก ด้วยแสงสว่าง ที่ส่องเป็นม่าน มาจากท้องฟ้า ทำมุม 90 องศา ทะลุผ่านบรรยากาศขมุกขมัว ตรงไปที่พื้นทะเล เป็นทางยาว จากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่ง. ปรากฏการณ์นั่น มันอยู่ห่างเรือเหล็กของเขา ไม่มากนัก, เท่าที่ทัศนวิสัยขณะนั้น จะมองเห็นได้. ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นที่ตรงไหน และไปสิ้นสุดที่ตรงไหน.
ปรากฏการณ์หนนี้ พวกเขาไม่รู้สึกตื่นเต้น เหมือนครั้งก่อน แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า สิ่งที่พวกเขาเห็น ซ้ำกันถึงสองครั้ง มันคืออะไร สินสมุทร อาจคาดเดาถูกก็ได้ ในฐานะกัปตันเรือ.
เสากระโดงเรือ ถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง อย่างทุลักทุเล, ใบเรือก็ใช้ของเก่า มันขาดผุผังไปก็มาก แต่ก็ดีกว่าไม่มี. อย่างน้อยก็บังคับเรือ ให้เคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ได้้เร็วกว่าปล่อยให้มันลอยไปตามกระแสน้ำ ตามลำพัง. เอื้อย รายงานเพื่อนๆ ว่า อาหารและน้ำจืด มีมากพอ ที่จะยังชีพอยู่ในเรือลำนี้ได้. สินสมุทร ให้กำลังเพื่อนอีกว่า ไม่ต้องกลัวเรื่องพายุและลูกคลื่น เพราะมันก็คือเรือดำน้ำดีๆ นี่เอง เพียงแต่ว่า มีขนาดเล็กกว่า. และอีกอย่าง พวกเขา มีเทียนไขจากน้ำมันมะพร้าว คอยให้แสงสว่างได้อีกนาน.
เรือเหล็ก แม้ว่าจะลอยน้ำได้ แต่เมื่อต้องบรรทุกลูกเรือ 5 คน ก็สร้างภาระในการลอยตัวให้ไม่น้อย ทำให้ส่วนที่ลอยเหนือพื้นน้ำ ไม่มากพอที่จะทำให้ ทุกคนมองเห็นพื้นผิวทะเล ผ่านกระจกหน้าปัทม์ได้มากนัก. วันไหนทะเลมีคลื่นสูง มันก็จะโยกโอนเอนมากหน่อย โชคดีที่ไม่มีใครเมาคลื่น.
ช่วงคลื่นลมสงบ จะผลัดแบ่งกัน มานั่งบนหลังของเรือ เพราะนั่งได้เพียง 3 คนก็แน่นแล้ว. เวลานั่ง ต้องเอาปลายเชือกด้านหนึ่งผูกกับเอว และอีกด้านหนึ่งผูกกับชิ้นส่วนบนของเรือ, ไม่อย่างนั้น มีหวังได้ลงไปลอยในน้ำทะเล. เหตุผลที่พากันมานั่งบนนี้ ก็เพราะข้างล่างค่อนข้างมืด และอึดอัด แสงไฟฟ้าก็ไม่มีแล้ว. เครื่องยนต์กลไกต่างๆ ตายสนิท ทำอะไรไม่ได้เลย. และที่สำคัญ คือ เผื่อมีเรือเดินสมุทรแล่นผ่านมา จะได้โบกสัญญาณขอความช่วยเหลือได้ถนัด.
3 วันต่อมา เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง คลื่นทะเลสูง โยกเรือให้โยนโอนเอนไปตามแรงคลื่น จนน่าสะอิดสะเอียน. แม้อากาศข้างล่างจะน้อย พวกเขาจำเป็นต้องมานั่งอัดกัน อยู่ข้างใน. และเพื่อไม่ให้เสียพลังงาน ไปมากกว่านี้ ทุกคนจึงนอนพักเอาแรง ภาวนาว่า ขอให้ผ่านคืนนี้ไปให้ได้.
เช้าตรู่ เรือถูกน้ำทะเลพัดมาเกยตื้น ที่ชายฝั่งแห่งหนึ่ง. สินสมุทร รู้สึกว่า ตลอดคืนที่ผ่านมา ตัวเองนอน อยู่บนสิ่งปลูกสร้างอะไรสักอย่าง ที่อยู่นิ่งๆ, เข้าใจว่า เรือเหล็กต้องต้องเกยหินโสโครก ที่ไหนสักแห่ง. เขารู้สึกตัวก่อนใครๆ ลุกขึ้น ออกไปดู ว่ามีอะไรอยู่ข้างนอก. ทันทีที่เปิดประตูออกไป สินสมุทร ถึงกับผงะ เมื่อสัมผัสกับอากาศหนาวเย็น, หมอกลงจัด ทัศนวิสัยแย่มากๆ. เลยทำให้บอกไม่ได้ว่า ตรงที่นี้ อยู่ส่วนไหนของทะเล. เขาพยายามเพ่งสายตา ฝ่าม่านหมอกไปรอบๆ ซึ่งมีทัศนวิสัยทัศน์ไกลอย่างมาก ไม่เกิน 50 เมตร.
อะไรกันนั่น! เขาแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง. สินสมุทร ดีใจมาก ที่เห็นชายฝั่ง. ที่แท้เรือของพวกเขา มาเกยตื้นที่นี่นั่นเอง. เขารีบลงไปปลุกเพื่อนๆ.
คำว่าเจอฝั่งแล้ว กลายเป็นนกหวีดไร้เสียง ปลุกให้ทุกคนที่เหลือ รีบลุกขึ้นมาทันที. แผ่นดินคือสวรรค์ ที่ทุกคนต้องไปให้ถึง ภาพแผ่นดิน ผุดขึ้นมาในหัวทันที. เด็กๆ พากันขึ้นมาข้างบน, ต้องผงะถอยหลัง เมื่อเจอกับอากาศเย็นยะเยือก.
ทุกคนจึงพากันกลับเข้าไปในเรือเหมือนเดิม หลบความหนาวข้างนอก, ประชุมวางแผน ว่าจะต้องเตรียมอะไร เมื่อขึ้นบก. บนฝั่งนั่น พวกเขาไม่รู้อะไรเลย ว่าที่นี่คือที่ไหน เป็นเกาะหรือแผ่นดินใหญ่. พวกเขาอาจจะมีโชค พบคนใจดี มีอาหารและน้ำกิน ให้ที่พัก ได้พาหนะเดินทางต่อไป แต่ถ้าโชคร้าย อาจจะเจอโจร คนร้าย หรือไม่ก็สัตว์ประหลาด เหมือนที่เคยเจอกันมา.
หลังจากหาเครื่องกันหนาวคลุมร่างได้แล้ว สินสมุทร สังข์ และ สุดสาคร พากันเดินไปตามหินโสโครก จนถึงฝั่งที่เป็นแผ่นดิน. พวกเขาพากันปีนขึ้นไปบนกองหิน ที่อยู่ริมถนน แล้วหลบซ่อนตัว เพื่อดูสถานการณ์.
บรรยากาศบริเวณรอบชายฝั่ง มีหมอกหนากว่าข้างบนที่เป็นแผ่นดิน, แต่ก็พอสังเกตระยะไกลๆ ได้บ้างลางๆ. ข้างบนนั่น มีตึกเก่า ผุดขึ้นในระยะห่างกัน หลายช่วง. ตึกแต่ละหลัง ไม่สูงมากนัก อย่างมากก็ 3 หรือ 4 ชั้น, ยังมองไม่เห็นผู้คน. ถนนก็ว่างเปล่า ดูคล้ายเมืองร้าง. สองสามนาทีผ่านไป เห็นคนกลุ่มหนึ่งราว 4 5 คน เดินอยู่บนถนนอีกฟากหนึ่ง ที่แยกไปทางซ้าย. พวกเขารีบเร่งจะไปไหนกัน ดูท่าทีหลบๆ ซ่อนๆ อะไรบางอย่าง หรือว่ากำลังหนีอะไรมา.
สักครู่ เริ่มได้ยินเสียงรถยนต์. ใช่แล้ว มีรถยนต์คันหนึ่ง สีแดงหม่นๆ วิ่งโผล่ออกมาจากมุมตึก เหมือนรถของพวกทหาร วิ่งไล่หลังคนพวกนั้นมา. เสียงปืนจากรถ ดังรัวขึ้น 2 ชุด. เหตุการณ์ระทึกขวัญ อยู่ห่างจากเด็กทั้งสามคน ไม่น่าเกิน 50 เมตร. รถลึกลับคันนั้น วิ่งเข้าไปใกล้กลุ่มคน 5 คน. มีชายแต่งชุดทหาร 4 คน ยืนถือปืนอยู่บนรถ. ผู้ชายชาวบ้านคนหนึ่ง ในกลุ่ม 5 คนนั่น หลบออกมาจากที่ซ่อนในซอกตึก วิ่งหลบรถทหารข้ามถนนไป. เสียงปืนดังขึ้น 3 นัด. เขาล้มคว่ำลงตรงนั้น แน่นิ่งไป.
สังข์ สินสมุทร สุดสาคร รู้สึกสลดใจ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น, ไม่คิดว่า ที่นี่จะมีความรุนแรงถึงเพียงนี้. หนีภัยจากทะเลมาแล้ว น่าจะพบข่าวดีบ้าง หรือเห็นสิ่งที่สวยงาม. การเดินทางขึ้นแผ่นดินครั้งนี้ เท่ากับหนีเสือปะจรเข้ชัดๆ. แต่ว่า ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ คงต้องรอดูเหตุการณ์ไปก่อน.
สิ้นเสียงปืน คนที่ซ่อนอยู่ในซอกตึก ต่างวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง. รถที่วิ่งไล่ตามมา จอดสนิท. ชายชุดทหาร 2 คน รีบลงจากรถ เข้าไปล็อคคอ กระชากชายอีกคนหนึ่ง ที่กำลังจะหนี แล้วลากตัวไปขึ้นรถ. ท่ามกลางเสียงร้องไห้โวยวาย ของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่กำลังวิ่งเข้าไปฉุดลากชายที่ถูกจับ. เข้าใจว่า คงเป็นสามีของนาง, ชายทหาร จึงจับลากผู้หญิงขึ้นรถไปพร้อมด้วย.
สุดสาครขยับตัว เท้าไปเหยียบก้อนหินก้อนหนึ่ง เขยื้อน ขลุก! ๆ ๆ ๆ กลิ้งหล่นลงไปในน้ำ ต๋อม! ชายชุดทหารคนที่ 2 กำลังเตรียมตัวจะขึ้นรถ รู้สึกผิดสังเกต จึงขยับปืน หันปลายกระบอกปืน มาทางเสียงก้อนหินหล่น พร้อมกับเดินเข้ามา ใกล้บริเวณที่ สังข์ และเพื่อนๆ หลบซ่อนตัว. สินสมุทร เอ่ยปากขอความเห็นเพื่อน.
สังข์ สินสมุทร กำลังจะขยับตาม สุดสาคร เสียงปืนก็ดังขึ้น 1 นัด. เกิดประกายไฟแลบขึ้น ที่ก้อนหินก้อนหนึ่งข้าง สุดสาคร. นับว่าโชคดี ที่ลูกกระสุนปืนกระดอนไปทางอื่น. ชายชุดทหารนั่น คงเห็นเด็กทั้งสามคนแล้ว. ขืินซ่อนต่อไป ก็ไม่มีประโยชน์, หนีไป ก็ไม่รอด. สินสมุทร ค่อยๆ ยกมือ แล้วยืนขึ้น สังข์ กับ สุดสาคร ก็ลุกขึ้นยืนตาม.
ชายชุดทหารคนหนึ่ง ที่อยู่บนรถ ตะโกนบอกเพื่อนทหารที่เจอเด็ก พร้อมกับโบกมือ ทำสัญลักษณ์ ให้ไปพาเด็กมาขึ้นรถ. สินสมุทร สังข์ และ สุดสาคร ตกอยู่ในภาวะคับขัน ไม่สามารถโต้ตอบ หรือขัดขืนอะไรได้เลย. ชายชุึดทหารที่เจอเด็ก เอาปลายกระบอกปืน ดุนหลังของสังข์.
สังข์ ยังคงยืนนิ่ง สบตากับเพื่อน ราวกับจะถามว่า พวกเขาสามคน จะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร. คนพวกนี้มีปืนยิงเร็ว และเอาจริงเสียด้วย. สินสมุทร รู้สึกเป็นกังวล, ส่ายหน้า เหมือนกับจะบอกว่า ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว, คิดจะสู้หรือคิดจะหนี ดูมืดมนไปหมด. สังข์ ชำเรืองสายตาไปที่ทะเล รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนสาวสองคนขึ้นมาทันที. พวกเขาไม่เคยอยู่ห่างกันเลย แต่คราวนี้ โชคร้ายเหลือเกิน หากถูกจับไปได้ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะได้เจอกันอีกหรือไม่. ไม่มีโอกาสได้ลา ไม่มีโอกาสกลับไปบอกพวกเธอ และที่สำคัญ จะแสดงท่าทีพิรุธ ให้คนพวกนี้รู้ไม่ได้ว่า เอื้อย กับ โสนน้อย ซ่อนอยู่ในเรือ. ได้แต่ภาวนาว่า ให้เธอสองคน หนีเอาตัวรอดไปให้ได้. ส่วนพวกเขาสามคน คงต้องปล่อยไปตามยถากรรม แบบนี้ไปก่อน, ค่อยหาโอกาส หนีกลับไปตามหาเพื่อนทีหลัง. วิธีนี้น่าจะดีที่สุด.
สุดสาคร มองหน้าพี่ชายกับ สังข์ ราวกับจะถามว่า จะเสี่ยงสู้แย่งปืน หรือจะไปกับพวกมัน.
ซวยแล้วซี! พี่ชาย มองหน้าน้องชาย ขยิบตา ส่งสัญญาณไม่ให้พูดอะไร.
สังข์ เป่าปาก โล่งอก, โชคดีที่เขาไม่เชื่อ. สังข์ ตัดสินใจยอมเดินตามชายชุดทหารไป อย่างช้าๆ เพื่อหน่วงเวลา ให้พอมีเวลาส่งสายตาอำลาเพื่อน. ขออย่าให้ เอื้อย โสนน้อย ตามพวกเขามาเลย. ถ้าส่งกระแสจิตออกไปได้ อยากจะบอกว่า ให้หนีเอาตัวรอดไป.
สารบัญ / ตอนที่ ปฐมบท -
บทที่ 2 สังข์ เอื้อย โสนน้อย
บทที่ 3 วันสังหาร
บทที่ 4 ชีวิตใหม่กลางภูผา
บทที่ 5 ภูติร้ายในป่ามรณะ
บทที่ 6 ประตูเวลาที่เรือนปีศาจ
บทที่ 7 หนอนทะเลทราย
บทที่ 8 หลุมดำดูดเวลา และการตามล่าของมนุษย์นอกจักรวาล
บทที่ 9 พบเพื่อนใหม่
บทที่ 10 ผจญภัยกลางมหาสมุทร
บทที่ 11 ปาฏิหาริย์ของเทพแห่งลิง
ภาคที่ 2: ฝ่าอุปสรรค เพื่อรักและอิสรภาพ
บทที่ 13 เทคโนโลยีล่องหน
บทที่ 14 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 1)
บทที่ 15 เส้นทางที่พลัดพราก
บทที่ 16 เมืองกาญจนา
บทที่ 17 บ้านของย่าทอง
บทที่ 18 วัยรุ่น วัยรัก วัยเรียน
บทที่ 19 ความรัก ความหวัง ยังไม่สิ้น
บทที่ 20 ตามหาเพื่อน
บทที่ 21 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 2)
ภาคที่ 3: รักนิรันดร์ ฝันเป็นจริง
บทที่ 23 นครรัฐเทพนารา
บทที่ 24 ชีวิตใหม่ ใจกลางมหานคร
บทที่ 25 ชีวิตจัดสรร ณ สันติอรุณ
บทที่ 26 สัมผัสแรก สัมผัสรัก
บทที่ 27 สังข์ทอง รจนา
บทที่ 28 วิกฤตของนครรัฐ
บทที่ 29 กู้วิกฤต
บทที่ 30 ฝันที่เป็นจริง
ปัจฉิมบท -
เพลง ฝ่าอุปสรรค ตามหารักนิรันดร์
|
|
|