ภาคที่ 3 บทที่ 24 ชีวิตใหม่ ใจกลางมหานคร ตอนที่ 81 คนแดนเถื่อน
ชีวิตที่ต้องเผชิญโชค ย่อมหาความแน่นอน และคาดหวังอะไรไม่ได้, อาจพบกับความผิดหวัง สมหวัง ได้ทุกเมื่อ, รวมทั้งภัยที่อาจมาคุกคาม ได้ตลอดเวลา. ใครก็ตามที่สมัครใจ จะเดินบนเส้นทางนี้ ต้องยอมรับความจริงข้อนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้. พวกเขาจำเป็นต้องมี ภูมิคุ้มกันทั้งทางกายและใจ เป็นเกราะกำบังตัว.
หลังจากอำลา นางเพลิน และ แพรวา พวกเขาพากันเดินไปเรื่อยๆ ผ่านถนนซอยแคบๆ ค่อนข้างจะปลอดคน. มันเป็นทางลัดออกไปสู่ถนนใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างออกไป. ถ้าโชคเข้าข้าง พวกเขาอาจได้พบ ที่พักพิงแห่งใหม่ หรือถ้าโชคดีมากๆ ก็อาจได้พบเพื่อนที่พลัดหลงกันก็ได้. แม้ว่าจะเป็นการคาดหวัง ที่มีโอกาสเป็นได้น้อยมาก แต่ก็ยังดีกว่า หยุดนิ่งอย่างคนสิ้นหวัง, นั่นไม่ใช่วิสัยของนักเผชิญโชค.
มีกลุ่มวัยรุ่น 3 คน เดินตรงเข้ามาหาพวกเขา ห่างราว 5 เมตร ท่าทางคงไม่ได้มาดี. สังเกตคนที่อยู่ตรงกลาง ร่างสูงใหญ่กว่าเพื่อน ผิวเข้มเกือบดำ มีหนวดเครา สวมหมวกดำปิดหน้า มือทั้งสองข้าง ที่ซุกอยู่ในกระเป๋าของเสื้อคลุมสีดำ ต้องเป็นอาวุธอะไรสักอย่างซ่อนไว้. อีกสองคนที่เดินขนาบข้าง ใส่เสื้อหนังแขนกุด เห็นรอยสักที่ต้นแขน ไม่สวมหมวก ทำให้เห็นใบหน้าชัดเจน บ่งบอกเป็นพวกอันธพาล ที่ไม่ธรรมดา. อาจโหดเหี้ยมกว่าทุกกลุ่ม ที่เคยเจอมา.
สิงห์ ตัดสินใจพาพวกเพื่อนๆ วิ่งไปข้างหน้า ไม่อยากเสียแรงปะทะกับคนพวกนี้.
พวกเขาวิ่งไปได้ ไม่ถึงสิบก้าว ก็ต้องสะดุด เพราะมีคนร้ายอีก 5 คน ออกจากมุมมืด มาดักรออยู่ข้างหน้า. พวกคนร้ายเดินเข้าหา หนุ่มสาวทั้งสามคน.
โสนน้อย กุมมือที่หน้าอก ขอร้อง. แต่ไร้ผล คนร้ายทั้งห้าคน ยังเดินย่างเข้าหาเหยื่อ โดยไม่มีท่าทียอมเจรจา.
เอื้อย สบตากับ สิงห์ดำ เพื่อขอความเห็น ในสถานการณ์แบบนี้. เอื้อย คิดว่า จะไม่รอให้มันมาประชิดตัวได้ง่ายๆ. แต่ สิงห์ดำ ไม่ต้องคิดให้เปลืองสมอง. เขากระโดดถีบ ที่บริเวณหัวไหล่ด้านซ้ายของคนที่อยู่หน้าสุด เพื่อไม่ให้ถึงตัว เอื้อย. โสนน้อย ย่อตัว เตะตัดขาขวาสวนทาง, คนหน้าสุุดล้มตึงไปด้านข้าง.
พวกคนร้ายที่เหลืออีก 4 คน วิ่งรุมกันเข้ามา. เอื้อย เบี่ยงตัวหลบ พร้อมกับวิ่งสวนไปข้างหน้า ใช้เท้าสไลด์แตะผนังตึก ระหว่างที่คนร้ายชาย 2 คน ตามมาประชิดตัว, และถูก เอื้อย ถีบสวนด้วยเท้าขวา เข้าที่ใบหน้าเต็มๆ ทั้ง 2 คน จนเซถลาไป. โสนน้อย อาศัยความเร็วและฉวยโอกาส ขณะที่เขายังนอนเจ็บอยู่, เข้าข้างหลัง มือขวาจับแขนคนร้ายไขว้หลัง มือซ้ายกดคอ แล้วกระชากแขนขึ้นบน. เอื้อย ไม่ปล่อยให้อีกสองคนตั้งตัว, กระทุ้งอัดที่หน้าอกด้วยศอก จนตัวงองุ้มเป็นกุ้งเผา ฟุบอยู่ริมผนังตึก.
กลยุทธ์ตัดกำลังศัตรู คงหยุดพวกคนร้ายได้ระยะหนึ่ง. สิงห์ กำลังปะทะกับวายร้ายร่างใหญ่กว่า อีก 2 คน, เอื้อย กับ โสนน้อย ต้องรีบเข้าไปช่วย.
กลุ่มคนร้ายทั้ง 5 คน รู้แล้วว่า เหยื่อรายนี้ไม่ใช่หมูหยอง ที่จะเคี้ยวเล่นง่ายๆ. พวกคนร้ายรวบรวมกำลัง ลุกขึ้นสู้อีกรอบ. คราวนี้ พวกมันตั้งหลัก ดาหน้าเข้ามาพร้อมๆ กัน ทั้ง 5 คน พร้อมอาวุธ มีดปลายแหลมยาว 1 ฟุต. คนกลางตัวใหญ่ น่าจะเป็นหัวหน้า คงไม่ผลีผลามเหมือนตอนแรก. เขาเอามือซุกในกระเป๋า หยุดดูเชิงของเหยื่อ, ปล่อยให้คนที่ถือมีด เดินตรงเข้าหาเหยื่อทั้งสาม.
ขวานน้อยหมุนควงสว่าน วิ๊ง! วิ๊ง! วิ๊ง! ... โผล๊ะ! เจาะเข้าที่หน้าผากคนหนึ่ง. วิ๊ง! วิ๊ง! วิ๊ง! ... โผลึ่ก! ปักตรงไหปลาร้าด้านซ้าย ของอีกคนหนึ่ง. คราวนี้ได้ผล สองคนร้ายทรุดตัวล้มลง. สิงห์ ก็ถึงตัวพอดี, ยื่นมือทั้งสองข้าง คว้าด้ามขวาน กลับติดคืนมา อย่างรวดเร็ว. แล้วถอยกลับไปรวมกับเพื่อนๆ. เอื้อย โสนน้อย ถึงกับตะลึงเล็กน้อย เพราะไม่เคยเห็นการใช้อาวุธของ สิงห์มาก่อนเลย แต่ ...
เสียงปืนดังขึ้น มาจากหัวหน้าของพวกคนร้าย. คงไม่รอให้มีนัดที่สอง. สิงห์ รีบฉุดมือเพื่อนสาวทั้งสอง ชิดมุมกำแพงหลบกระสุนปืน.
โสนน้อย ถาม ขณะเอาผ้าพันแขนให้สิงห์ กันเลือดไหล.
สักครู่ ได้ยินเสียงเท้าของคน วิ่งกรูกันเข้ามา. พวกเขาค่อยๆ ถอยหลังจนพ้นมุมตึก. สิงห์ มองลอดผ่านซอกตึกด้านซ้ายมือ เห็นหลังคารูปโดม ของอาคารหลังหนึ่ง ที่อยู่ไกลออกไปหลายช่วงตึก.
เสียงปืนนั่น คงเรียกให้พวกมันมา พวกมันมีมากกว่าสิบคน เราคงสู้ไม่ไหวแน่ เราแยกทางกันตรงนี้ เอื้อย กับ โสนน้อยไปด้วยกัน แล้วไปเจอกันที่โน่น สิงห์นัดแนะ และชี้ไปที่หลังคารูปโดม. สิงห์ คนเดียว สู้พวกมันไหวเหรอ? เอื้อย ยังลังเล. ไหวซิ ผมเอาอยู่ ไป! รีบไป
สิงห์ วิ่งหลบไปอีกทาง เอื้อย กับ โสนน้อย วิ่งไปอีกทาง. คนร้ายที่พากันมาเป็นกลุ่มใหญ่ จึงต้องแบ่งกันเป็น 2 พวก. พวกหนึ่ง 5 คน วิ่งไล่ตาม สิงห์ดำ, ที่เหลือวิ่งไล่ตาม เอื้อย กับ โสนน้อย.
เขาชะลอความเร็วลง คิดจัดการคนพวกนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด จะได้มีเวลาเหลือ ตามไปคุ้มครองเพื่อนสาวได้ทัน.
สิงห์ แหงนหน้ามองไปข้างบน เมฆเริ่มก่อตัวเป็นก้อนดำ ส่วนอีกฟากหนึ่ง มีตึกที่กำลังก่อสร้าง นั่งร้านยังไม่ได้รื้อถอน. เขาเบี่ยงเบนความสนใจของคนร้าย, วิ่งขึ้นไปบนตึก คนร้าย วิ่งตามไล่หลังขึ้นไป. สิงห์ ไต่ไปตามกระดานนั่งร้าน พวกคนร้ายหยุดนิดหนึ่ง, คงจะกลัวความสูง. แต่สิ่งที่ดูน่ากลัวกว่านั้น มีสายฟ้าวาบขึ้นบนฟ้า ตามด้วยเสียงคำราม. พวกที่อยู่ข้างหน้า สะดุดนิดหนึ่ง คงกลัวความสูงและเสียงฟ้าผ่า. ขณะที่ พวกที่อยู่ข้างหลัง ตะโกนให้รีบตามเหยื่อไป.
สิงห์ดำ ไวกว่า กระโดดเกาะนั่งร้าน ที่ยื่นออกไปด้านข้าง ถีบคนที่ตามมาติดๆ ตกลงไปข้างล่าง. ทำให้พวกคนร้ายที่เหลือ ชะงักนิดหนึ่ง. สิงห์ นับดูคร่าวๆ มีมากกว่าสิบคน, คนพวกนี้คงมาเพิ่มทีหลัง และก็ไม่แน่ใจว่าจะมีมาเพิ่มอีกหรือไม่.
การต่อสู้ระหว่าง สิงห์ กับกลุ่มคนร้าย ดำเนินต่อไป อย่างเอาเป็นเอาตาย. สิงห์ ได้เปรียบในพื้นที่แคบและสูง ส่วนคนร้ายได้เปรียบเรื่องจำนวน. แต่ตอนนี้ เขาถอยต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เพราะมาถึงทางตัน กระดานที่วางพาดนั่งร้าน มันมาสุดตรงมุมตึกพอดี. เขามองลงไปข้างล่าง มีสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่าน, ถ้าตกลงไปตอนนี้มีหวังไม่รอดแน่. พวกคนร้ายเห็นว่า ฝ่ายตัวเองได้เปรียบ ต่างทยอยไต่กระดานเข้ามา เกือบใกล้ตัวเขาเข้ามาทุกที. ถึงคราวที่ สิงห์ ต้องเสี่ยง, ถ้าเขาถูกพวกมันจับได้ เอื้อย กับ โสนน้อย ก็คงลำบาก, และเขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น.
ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว, สิงห์ รอให้พวกคนร้ายมารวมกันให้มากที่สุด ก่อนจะใช้แผนต่อไป. พวกศัตรูชะล่าใจ แห่กันขึ้นมาข้างบน. สิงห์ ใช้ขวานฟันลวด ที่ยึดโครงนั่งร้านกับตัวตึก ให้ขาดออกจากกัน แล้วใช้เท้าถีบแผ่นไม้กระดาน.
น้ำหนักของนั่งร้านเริ่มเสียดุล, พวกที่ยืนเกาะกลุ่มกัน มีอาการโงนเงน. สิงห์ ยอมเสี่ยงชีวิต เกาะราวนั่งร้านไว้ แล้วโยนตัว แหวกสวนพวกมัน ไปที่เส้นลวดอีกเส้นหนึ่ง แล้วใช้ขวานฟันอีก. คราวนี้นั่งร้านเสียดุลโดยสิ้นเชิง โครงสร้างไร้ที่ยึด นั่งร้านเริ่มเอนห่างจากตัวตึก พาคนที่อยู่บนนั้น ร่วงหล่นไปพร้อมกัน.
คนร้ายเกือบสิบคนและสิงห์ หล่นลงไปพร้อมกับนั่งร้าน ไปปะทะกับสายไฟฟ้าแรงสูง, เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ประกายไฟแลบไหล ไปทั่วร่างของคนร้าย เสียงดัง หึ่ง! หึ่ง! เปร๊ยะๆ พร้อมควันไฟคละคลุ้ง ตามด้วยกลิ่นเหม็นไหม้.
เวลาผ่านไป 2 นาที เหตุการณ์ก็สงบนิ่ง ... แค่สังเกตด้วยสายตาเปล่า คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่า คนร้ายตายทั้งหมด, สิงห์ ก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกัน. แต่อีก 3 นาทีต่อมา ... ถ้ามีใครสักคน ยังเฝ้าสังเกตอย่าต่อเนื่อง จะต้องประหลาดใจแน่นอน. ร่างของ สิงห์ดำ เริ่มขยับ, เขารู้สึกตัว ขยับยืดแขนขา สำรวจร่างกายว่ามีส่วนใดบาดเจ็บบ้าง.
เม็ดฝนเริ่มเทลงมาจนเปียกไปทั่ว, กลิ่นเหม็นไหม้ และสายฟ้าแลบบนท้องฟ้า เริ่มเบาบางลง. สิงห์ รีบตะเกียกตะกาย พาร่างที่บอบช้ำ ออกไปให้ห่างจากบริเวณสายไฟฟ้าแรงสูง. ก้มมองดูตัวเอง เสื้อผ้ามีรอยไฟเผาเป็นริ้วๆ, พอเอามือลูบไปตรงรอยไฟไหม้ แหวกชิ้นผ้าออกดู พบว่าผิวหนังบริเวณนั้น เป็นผื่นแดงช้ำๆ. เขาเอามือลูบผม ก็รู้สึกว่าฟูเล็กน้อย แต่น้ำฝนที่เทลงมาจนเปียกชุ่ม ทำให้ดูไม่น่าเกลียดนัก.
สิงห์ พิจารณาดูพวกคนร้าย ทุกคนนอนตายบนซากนั่งร้าน ที่หักพังลงมาพาดกับสายไฟฟ้าแรงสูง. เขานึกถึงคำพูดของแม่, แม่เคยเล่าให้เขาฟัง เมื่อตอนเป็นเด็ก.
สิงห์ เพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้จริงแล้ว เขามีภูมิกันไฟฟ้าดูด มาตั้งแต่แรกเกิด. มิน่าล่ะ ชาวบ้านพวกนั้นจึงถูกฟ้าผ่าตาย แต่เขากลับไม่เป็นอะไร ทั้งๆ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน.
สารบัญ / ตอนที่ ปฐมบท -
บทที่ 2 สังข์ เอื้อย โสนน้อย
บทที่ 3 วันสังหาร
บทที่ 4 ชีวิตใหม่กลางภูผา
บทที่ 5 ภูติร้ายในป่ามรณะ
บทที่ 6 ประตูเวลาที่เรือนปีศาจ
บทที่ 7 หนอนทะเลทราย
บทที่ 8 หลุมดำดูดเวลา และการตามล่าของมนุษย์นอกจักรวาล
บทที่ 9 พบเพื่อนใหม่
บทที่ 10 ผจญภัยกลางมหาสมุทร
บทที่ 11 ปาฏิหาริย์ของเทพแห่งลิง
ภาคที่ 2: ฝ่าอุปสรรค เพื่อรักและอิสรภาพ
บทที่ 13 เทคโนโลยีล่องหน
บทที่ 14 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 1)
บทที่ 15 เส้นทางที่พลัดพราก
บทที่ 16 เมืองกาญจนา
บทที่ 17 บ้านของย่าทอง
บทที่ 18 วัยรุ่น วัยรัก วัยเรียน
บทที่ 19 ความรัก ความหวัง ยังไม่สิ้น
บทที่ 20 ตามหาเพื่อน
บทที่ 21 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 2)
ภาคที่ 3: รักนิรันดร์ ฝันเป็นจริง
บทที่ 23 นครรัฐเทพนารา
บทที่ 24 ชีวิตใหม่ ใจกลางมหานคร
บทที่ 25 ชีวิตจัดสรร ณ สันติอรุณ
บทที่ 26 สัมผัสแรก สัมผัสรัก
บทที่ 27 สังข์ทอง รจนา
บทที่ 28 วิกฤตของนครรัฐ
บทที่ 29 กู้วิกฤต
บทที่ 30 ฝันที่เป็นจริง
ปัจฉิมบท -
เพลง ฝ่าอุปสรรค ตามหารักนิรันดร์
|
|
|